พันธกิจนี้ไม่สมควรที่จะคิดว่าเป็นเสมือนข้อกำหนดหรือข้อคำสั่ง แต่เราต้องถือว่าเป็นพระพรที่เราได้รับ เป็นพระพรที่เกิดขึ้นเกินเลยจินตนาการและการทุ่มเทของเรา ที่จริงแล้วเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเองที่ทรงเชื้อเชิญเราให้เข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิตของพระองค์และทรงมอบหมายให้เราทำการประกาศให้ผู้อื่นได้รับทราบ นี้เป็นพระพรและความไว้วางใจและเชื่อมั่นที่พระองค์มอบให้แก่เรา และด้วยเหตุผลนี้เองจึงเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่และสิ่งที่เราสามารถกระทำได้ก็เพียงการตอบรับพันธกิจนี้ด้วยความใจกว้างและด้วยความชื่นชมยินดี
               ดังนั้นเราอาจจะถามว่าแล้วเราจะตอบรับพระพรนี้ได้อย่างไร เราจะทำงานที่ได้รับคำสั่งมานี้ได้อย่างไร เราจำเป็นต้องมีชีวิตที่มีความสัมพันธ์ที่แนบสนิทกับพระเยซูเจ้าจนกระทั่งทำให้เราไม่ได้ทำการประกาศตัวเองแต่ประกาศพระเยซูเจ้า และเราจะได้ไม่ทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้าด้อยค่าลงหรือจัดให้งานการประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นงานที่ขึ้นอยู่กับความสนใจหรือความต้องการของเราส่วนตัว พระอาณาจักรของพระเจ้าคือชีวิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าเองซึ่งเสด็จลงมาประทับอยู่กับเรา เพื่อให้พระเจ้าเข้าปกครองจิตใจของเรา และเพื่อการปกครองของพระเจ้าก็ไม่ใช่อะไรอื่นนั้นคือการดำรงชีวิตอยู่ด้วยความรักต่อเพื่อนพี่น้องชายหญิงของเราอย่างมีประสิทธิภาพและด้วยวิธีที่เป็นรูปธรรม “ถ้าผู้ใดพูดว่า ‘ฉันรักพระเจ้า’ แต่เกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ เพราะผู้ไม่รักพี่น้องที่เขาแลเห็นได้ ย่อมไม่รักพระเจ้าที่เขาแลเห็นไม่ได้” (1ยน.4:20) นี้แหละเป็นเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำเมื่อพระองค์ทรงเข้าหาคนยากจนและคนที่อยู่ชายขอบของสังคม ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะพวกเขาเป็นคนดีกว่าคนอื่นๆแต่เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับการยอมรับให้เข้าอยู่ร่วมหรือให้เข้าอยู่กับกลุ่มบุคคลในสังคมที่ถือว่าตนเองเป็นคนดี บริสุทธิ์ และยุติธรรม เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจถึงการปฏิบัติตนของพระเยซูเจ้าที่ไม่เกรงกลัวต่อคำครหาใดๆในการที่พระองค์ทรงปฏิบัติตนกับบรรดาบุคคลที่สังคมถือว่าต่ำต้อย เช่น ทรงรับอาหารกับคนบาป รักษาคนเจ็บไข้ได้ป่วย เป็นเพื่อนกับบุคคลที่สังคมตราหน้าว่าเป็นคนไม่บริสุทธิ์ เมื่อพระองค์ทรงเห็นบุคคลเหล่านี้ซึ่งกฎหมายขีดเส้นให้อยู่นอกสังคม พระองค์ไม่ได้ทรงทำลายโครงสร้างของศาสนาดั่งเดิมที่กดขี่พวกเขาเหล่านั้น แต่ทรงประกาศเรื่องพระบิดาให้กับพวกเขาได้ทราบ ทรงประกาศพระผู้ทรงเป็นบิดา พระเจ้าแห่งความรักและความเมตตา เพราะพวกเขาคือบุตรชายและบุตรหญิงของพระเจ้า เป็นการประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า(มธ.5:1-12) ซึ่งเป็นชุดของทัศคติใหม่และการปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมชัดเจนถึงพระอาณาจักรของพระเจ้า


ข้อพิจารณา
             พระเยซูเจ้าทรงยืนยันถึงชุดของทัศนคติใหม่และการปฏิบัติต่อผู้อื่นที่เป็นรูปธรรม ซึ่งแตกต่างไปจากชุดของทัศคติเดิมของกลุ่มบุคคลที่ถือว่าตนเองเป็นคนดี และถือว่าคนอื่นๆเป็นคนนอกสายตา
            1. สำหรับตัวของท่านแล้ว ใครเป็นบุคคลที่ท่านละเลยหรือมองข้ามไป และใครที่พระศาสนจักรไม่ได้ใส่ใจเท่าที่ควร
            2. ทัศนคติใหม่ที่ท่านควรมีต่อบุคคลต่างๆในสังคมปัจจุบันคืออะไร
            3. ท่านจะทำอะไรบ้างเพื่อร่วมมือกับพระเจ้าในการสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้าให้เกิดขึ้นในพระศาสนจักรและในสังคมที่ท่านอาศัยอยู่
(โดยคุณพ่อTimothy Lehane B svd, Secretary General Propagation of the Faith)
……………………………………………………………………
พระวรสาร มธ 5:1-12  ความสุขแท้จริง
พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนมากมาย จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า
“ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข  เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา
ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน
ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก
ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม
ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา
ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า
ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า
ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา”
            “ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่าง ๆ นานาเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก  เขาได้เบียดเบียนบรรดาประกาศกที่อยู่ก่อนท่านดังนี้ด้วยเช่นเดียวกัน”