กฎหมายพระศาสนจักรในมือฆราวาส โดย คุณพ่อไพยง  มนิราช
เรื่องที่ 2  บทบาทของคริสตชนทุกคน
2.1 บทบาทฆราวาสตามประมวลกฎหมายพระศาสนจักร

 

         ประมวลกฎหมายพระศาสนจักรมาตรา 224 กล่าวว่า "นอกจากหน้าที่และสิทธิที่คริสตชนทุกคนพึงมีตามปรกติและตามที่ได้กำหนดไว้ในมาตราอื่นๆ คริสตชนฆราวาสยังมีหน้าที่และสิทธิต่างๆตามที่มีบัญญัติไว้ในมาตราต่างๆของลักษณะนี้"

 

2.1.1 สิทธิและหน้าที่ของคริสตชนทุกคนคือทั้งสมณะและฆราวาส มีดังต่อไปนี้

        2.1.1.1        มาตรา 208 กล่าวว่า "โดยการเกิดใหม่ในพระคริสต์ คริสตชนทุกคนเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงในศักดิ์ศรีและหน้าที่การงานเพื่อร่วมมือกันสร้างพระกายของพระคริสต์ตามสภาพและหน้าที่ของแต่ละคน"

       2.1.1.2        มาตรา 209 วรรค 1 กล่าวว่า "คริสตชนมีพันธะหน้าที่ต้องรักษาสายสัมพันธ์กับพระศาสนจักรตลอดไป ไม่ว่าจะประกอบกิจกรรมใด ๆ ตามวิถีชีวิตของตน"

      2.1.2.3        มาตรา 209 วรรค 2 กล่าวว่า "คริสตชนต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่ต่อพระศาสนจักรสากลและต่อพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่ตนสังกัดอยู่ตามข้อกำหนดของกฎหมาย"

      2.1.1.4        มาตรา 210 กล่าวว่า "คริสตชนทุกคนต้องทุ่มเทพลังตามสภาพของตนเพื่อเจริญชีวิตศักดิ์สิทธิ์ เพื่อส่งเสริมให้พระศาสนจักรเจริญเติบโตและมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง"

      2.1.1.5        มาตรา 211 กล่าวว่า "คริสตชนทุกคนมีหน้าที่และสิทธิในการทำงาน เพื่อให้สารของพระเป็นเจ้าเรื่องความรอดแผ่ไปถึงมนุษย์ทุกคน ทุกยุค ทุกสมัยทั่วพิภพ ยิ่งวันยิ่งมากขึ้น"

      2.1.1.6        มาตรา 212 วรรค 1 กล่าวว่า "คริสตชนที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบของตน ต้องมีความนบนอบแบบคริสตชน ปฏิบัติตามสิ่งซึ่งนายชุมพาบาลผู้ศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้แทนของพระคริสต์ ประกาศกในฐานะอาจารย์ความเชื่อหรือกำหนดในฐานะผู้นำพระศาสนจักร"

      2.1.1.7        มาตรา 212 วรรค 2 กล่าวว่า "คริสตชนมีสิทธิสมบูรณ์ที่จะแสดงความต้องการ โดยเฉพาะในเรื่องฝ่ายจิตและความปรารถนาของตนต่อผู้อภิบาลพระศาสนจักร"

      2.1.1.8        มาตรา 212 วรรค 3 กล่าวว่า "ตามความรู้ ความสามารถและความโดดเด่นที่ตนมี คริสตชนมีสิทธิและยิ่งกว่านั้น ในบางครั้งมีหน้าที่ต้องแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องที่เกี่ยวกับความดีของพระศาสนจักรต่อนายชุมพาบาลผู้ศักดิ์สิทธิ์ และมีสิทธิ์ที่จะบอกความคิดเห็นของตนให้คริสตชนอื่นทราบ โดยคำนึงถึงความครบถ้วยของความเชื่อและศีลธรรมและเคารพต่อผู้อภิบาล และโดยคำนึงถึงความดีต่อส่วนรวมและศักดิ์ศรีของบุคคล"

     2.1.1.9        มาตรา 213 กล่าวว่า "คริสตชนมีสิทธิรับความช่วยเหลือจากผู้อภิบาลศักดิ์สิทธิ์จากขุมทรัพย์ฝ่ายจิตของพระศาสนจักร โดยเฉพาะจากพระวาจาของพระเจ้าและศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ"

      2.1.1.10      มาตรา 214 กล่าวว่า "คริสตชนมีสิทธิถวายคารวกิจแด่พระเป็นเจ้าตามข้อกำหนดของจารีตของตน ซึ่งได้รับการรับรองจากบรรดานายชุมพาบาลที่ถูกต้องของพระศาสนจักรและปฏิบัติตามรูปแบบเฉพาะชีวิตฝ่ายจิตของตนที่สอดคล้องกับคำสั่งสอนของพระศาสนจักร"

     2.1.1.11      มาตรา 215 กล่าวว่า "คริสตชนมีสิทธิเต็มเปี่ยมในการก่อตั้งและบริหารสมาคมอย่างเสรี เพื่อจุดประสงค์ด้านการกุศลหรือเมตตาจิต เพื่อส่งเสริมกระแสเรียกคริสตชนในโลก และเพื่อบรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวร่วมกัน"

      2.1.1.12      มาตรา 216 กล่าวว่า "เนื่องจากคริสตชนทุกคนมีส่วนร่วมในพันธะกิจของพระศาสนจักร จึงมีสิทธิสนับสนุนหรือค้ำจุนกิจการการแพร่ธรรมด้วยการริเริ่มของตนเองตามลักษณะและสภาพของแต่ละคน อย่างไรก็ตาม ห้ามใช้ชื่อคาทอลิกโดยพลการในการริเริ่มใด ๆ เว้นไว้แต่ว่าจะได้รับความเห็นชอบจากผู้ทรงอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรแล้ว"

      2.1.1.13      มาตรา 217 กล่าวว่า "เนื่องจากคริสตชนได้รับเรียกโดยศีลล้างบาปให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับคำสอนของพระวรสาร จึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับการศึกษาแบบคริสตชน เพื่อจะได้เรียนรู้อย่างเหมาะสมถูกต้อง เพื่อบรรลุถึงวุฒิภาวะของความเป็นบุคคล และในเวลาเดียวกัน เพื่อจะได้รู้และเจริญชีวิตตามรหัสธรรมแห่งความรอด"

      2.1.1.14      มาตรา 218 กล่าวว่า "ผู้ที่ทุ่มเทศึกษาศักดิ์สิทธิ์ มีเสรีภาพอันชอบในการค้นคว้าและในการแสดงความคิดเห็นของตนอย่างรอบคอบในเรื่องที่ตนมีความเชี่ยวชาญ ทั้งนี้โดยต้องให้ความเคารพอันพึงมีต่ออำนาจการสั่งสอนของพระศาสนจักร"

     2.1.1.15      มาตรา 219 กล่าวว่า "คริสตชนทุกคนทีสิทธิ์เลือกวิถีชีวิตของตนอย่างเสรีโดยปราศจากการบีบบังคับใด ๆ"

      2.1.1.16      มาตรา 220 กล่าวว่า "ห้ามผู้ใดทำลายชื่อเสียงที่ดีของผู้อื่นโดย

มิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งห้ามละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นในอันที่จะปกป้องความเป็นส่วนตัวของเขา"

     2.1.1.17      มาตรา 221 วรรค 1 กล่าวว่า "คริสตชนสามารถเรียกร้องและป้องกันตนตามนัยของกฎหมายซึ่งสิทธิที่ตนมีในพระศาสนจักร ต่อศาลพระศาสนจักรที่มีอำนาจตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย"

     2.1.1.18      มาตรา 221 วรรค 2 กล่าวว่า "คริสตชนเมื่อถูกเรียกร้องให้รับการตัดสินจากผู้ทรงอำนาจ มีสิทธิ์รับการพิพากษาตามข้อกำหนดกฎหมายที่ต้องใช้ด้วยความเที่ยงธรรม"

     2.1.119       มาตรา 221 วรรค 3 กล่าวว่า "คริสตชนมีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกลงโทษด้วยอาญาของพระศาสนจักรเว้นแต่ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย"

    2.1.1.20      มาตรา 222 วรรค 1 กล่าวว่า "คริสตชนมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในความต้องการของพระศาสนจักร เพื่อให้พระศาสนจักรมีสิ่งจำเป็นสำหรับการประกอบคารวกิจแด่พระเจ้า สำหรับงานแพร่ธรรมและงานเมตตาจิต รวมทั้งเพื่อการดำรงชีวิตที่เหมาะสมของศาสนบริการ"

      2.1.1.21      มาตรา 222 วรรค 2 กล่าวว่า "คริสตชนมีหน้าที่ส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคมและโดยสำนึกถึงคำสั่งสอนของพระคริสต์ มีหน้าที่ช่วยเหลือคนยากจนจากทรัพย์สินของตนด้วย"

      2.1.1.22      มาตรา 223 วรรค 1 กล่าวว่า "ในการใช้สิทธิ์ของตน คริสตชนไม่ว่าโดยส่วนตัวหรือเมื่อรวมกันเป็นสมาคมก็ตาม ต้องคำนึงถึงความดีส่วนรวมของพระศาสนจักรและสิทธิของผู้อื่น รวมทั้งหน้าที่ของตนเองต่อผู้อื่นด้วย"

      2.1.1.23      มาตรา 223 วรรค 2 กล่าวว่า "ผู้ทรงอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรมีอำนาจบริหารการใช้สิทธิ์อันเป็นสิทธิ์เฉพาะของคริสตชน โดยมุ่งถึงความดีส่วนรวม"

      2.1.1.24      มาตรา 1282 บอกว่า "ทุกคนไม่ว่าสมณะหรือฆราวาส ซึ่งมีส่วนในการบริหารทรัพย์สินฝ่ายพระศาสนจักรโดยตำแหน่งอันชอบด้วยกฎหมาย ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนในนามพระศาสนจักร ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย"

      2.1.1.25      กฎหมายมาตรา 1287 วรรค 1 กล่าวว่า "โดยตำหนิ ประเพณีที่ตรงข้าม ผู้บริหารทั้งที่เป็นสมณะและฆราวาส ซึ่งมีหน้าที่บริหารทรัพย์สินฝ่ายพระศาสนจักรใดๆไม่ว่า ที่มิถูกถอนออกจากอำนาจปกครองของพระสังฆราชสังฆมณฑลโดยชอบด้วยกฎหมาย มีหน้าที่ต้องส่งรายงานทุกปีแก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น ซึ่งท่านต้องส่งรายงานแก่คณะที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจเพื่อตรวจสอบ"

  

2.2 บทบาทของคริสตชนทุกคนตามคำสอนของสังคายนาวาติกันที่ 2

 

2.1.1  พระสมณะกฤษฎีกาแห่งสภาสังคายนาว่าด้วยการแพร่ธรรมของฆราวาส (APOSTOLICAM ACTUOSITATEM) บทที่ 2 ข้อ 7 กล่าวว่า "เป็นภาระหน้าที่ของพระศาสนจักรทั้งหมดที่จะต้องทำให้มนุษย์ตีค่าคติโลกอย่างถูกต้อง แล้วชักคติโลกนั้นให้มุ่งไปหาพระเป็นเจ้าโดยอาศัยพระคริสตเจ้า เป็นหน้าที่ของผู้อภิบาลสัตบุรุษจะต้องแถลงอย่างแจ่มแจ้งถึงหลังเกณฑ์ที่เกี่ยวกับจุดหมายการสร้างและการใช้ของของโลกในทางที่ถูกแล้วให้ความช่วยเหลือทางศีลธรรมและทางจิตวิญญาณ เพื่อให้การทางฝ่ายโลกได้รับการฟื้นฟูขึ้นในพระคริสตเจ้า

          ฆราวาสต้องถือว่าการฟื้นฟูคติโลกเป็นหน้าที่เฉพาะของตนเอง ฆราวาสเมื่อรู้เห็นแจ้งโดยอาศัยความสว่างแห่งพระวรสาร และมีจิตตารมณ์ของพระศาสนจักรกับความรักต่อเพื่อนมนุษย์แบบคริสตชนผลักดันไป ก็ต้องลงมือปฏิบัติงานในเรื่องนี้ด้วยตนเองและด้วยใจที่แน่วแน่เด็ดเดี่ยว ในฐานะพลเมืองฆราวาสร่วมมือกับพลเมืองอื่นๆตามความสามารถพิเศษ โดยรับเอาส่วนที่เป็นความรับผิดชอบของตนและต้องแสวงหาความยุติธรรมแห่งพระราชัยของพระเป็นเจ้าในที่ทั่วไปและในกิจการทุกอย่าง ต้องฟื้นฟูคติโลกในแบบที่ยังเคารพปฏิบัติให้ถูกกฎเฉพาะของมัน การทางฝ่ายโลกนั้นก็ยิ่งจะต้องตรงกับหลักเกณฑ์อันสูงกว่าของชีวิตแบบคริสตชน และเข้ากับสภาพต่างๆของสถานที่ เวลาและหมู่ชน ในบรรดางานต่างๆของการแพร่ธรรมนี้ งานสังคมของคริสตชนนับเป็นงานที่ดีที่สุด"

 

2.2.2  พระธรรมนูญว่าด้วยพระศาสนจักร (LUMEN GENTIUM) ในบทที่ 5 ข้อ 40 กล่าวว่า "สัตบุรุษคริสตชนทุกๆคน ไม่ว่าอยู่ในฐานะอันใดหรืออยู่ในชั้นวรรณะใด เขาทุกคนได้รับการเชื้อเชิญให้มาสู่ความสมบูรณ์ของชีวิตคริสตชนและความครบครันด้วยความรักเมตตาจิต"

 

2.2.3  พระสมณะกฤษฎีการว่าด้วยงานธรรมพูตแห่งพระศาสนจักร (Ad GENTES) บทที่ 6 ข้อ 36 กล่าวว่า "เพราะเหตุนี้ลูกของพระศาสนจักรทุกคนต้องมีความสำนึกอย่างแรงกล้าถึงความรับผิดชอบของตนต่อโลก หล่อเลี้ยงจิตตารมณ์ที่เป็นคาทอลิกอย่างแท้จริงไว้ภายในตนและทุ่มเทกำลังไปในงานเผยแพร่ข่าวดี อย่างไรก็ดี ขอให้ทุกคนรู้ไว้ว่าหน้าที่ประการต้นและสำคัญที่สุดของตนในการเผยแพร่ความเชื่อก็คือต้องถือชีวิตคริสตชนอย่างแท้จริงนั่นเอง"