(18)พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาใกล้ ตรัสแก่เขาเหล่านั้นว่า“พระเจ้าทรงมอบอำนาจอาชญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา (19)เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงไปสั่งสอนนานาชาติให้มาเป็นศิษย์ของเรา ทำพิธีล้างบาปให้เขาเดชะพระนามพระบิดา พระบุตร และพระจิต (20)จงสอนเขาให้ปฏิบัติตามคำสั่งทุกข้อที่เราให้แก่ท่าน แล้วจงรู้เถิดว่าเราอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ”
ข้อคิด
“ลาก่อนนะ” “ไปแล้วนะ” “สวัสดี แล้วพบกันใหม่” คำเหล่านี้หรือคำอื่นๆที่เรามักใช้เมื่อเราจะต้องจากกันไป ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์และสถานะ แต่ไม่ว่าเราจะใช้สำนวนโวหารอะไรก็ล้วนแต่มีเนื้อหาเดียวกันคือเราจะต้องจากกันไป หรือต้องห่างกันไป
ในวันนี้ เราทำการสมโภช พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ พูดแบบบ้านๆก็คือพระเยซูกำลังจะจากบรรดาสาวกไป ก่อนที่จะจากไปนั้นพระเยซูไม่ได้ทรงกล่าวคำลาแบบที่เราได้พูดถึง แต่พระองค์บอกลาสาวกด้วยคำพูดที่ให้กำลังใจว่า “จงรู้เถิดว่า เรา(พระเยซู)จะอยู่กับท่านทุกวันตลอดไปตราบจนสิ้นพิภพ” (มธ.28:20)
เมื่อพิจารณาพระวาจาของพระองค์ตอนนี้แล้ว ทำให้คิดได้ว่า พระองค์ดูเหมือนจะจากไป แต่ก็ยังอยู่กับเรา นักเทววิทยาท่านหนึ่งได้ให้ความหมายในเรื่องนี้อย่างง่ายๆเข้าใจได้ว่า “การเสด็จสู่สวรรค์” ของพระเยซูเจ้านี้ หมายความว่าต่อไปนี้พระองค์จะไม่ปรากฏพระองค์ให้แก่บรรดาสาวกได้เห็นในรูปแบบของตัวตนหรือรูปกายอีก พระองค์จะไม่ได้เสด็จไปไหน พระองค์ยังคงอยู่กับเราจนตราบเท่าทุกวันนี้ และจะยังคงอยู่ตลอดไป
แล้วเราจะสัมผัสกับการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าได้อย่างไร
ก่อนอื่นหมด เราต้องมี “ความเชื่อ” ซึ่งหมายความว่าเราต้องสำนึกอยู่เสมอทุกเวลานาทีว่าพระองค์ประทับอยู่ในตัวของเรา นี้เป็นพระพรที่เราได้รับโดยผ่านทางศีลล้างบาปและเป็นต้นทางศีลมหาสนิท
ประการที่สอง เราต้องอาศัย “พระจิตเจ้า” ในบทอ่านที่สองในวันนี้เราได้รับข่าวดีว่า “ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ประทานพระพรแห่งปรีชาญาณและการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิตเจ้า เพื่อจะได้รู้ซึ้งถึงพระองค์ดียิ่งขึ้น”(อฟ.1:17)
ประการที่สาม เราต้องอาศัย “พระศาสนจักร” เพื่อหล่อเลี้ยงความเชื่อของเรา พระศาสนจักรเป็นเสมือนแม่ที่เอาใจใส่ลูกน้อย เช่นเดียวกันในบทอ่านที่สองทำให้เราแน่ในบทบาทของพระศาสนจักรมากยิ่งขึ้น เมื่อนักบุญเปาโลสอนว่า “พระเจ้าทรงแต่งตั้งพระคริสตเจ้าไว้เหนือสรรสิ่งให้ทรงเป็น “ศีรษะ” ของพระศาสนจักร ซึ่งเป็น “พระวรกาย” ของพระองค์ (อฟ.1:22)
ประการสุดท้าย เราสัมผัสกับการประทับอยู่ของเจ้าได้โดยการอ่าน “พระวาจาของพระเจ้า” ทุกวัน พระวาจาของพระเจ้านี้เองไม่ใช่เพียงแต่ทำให้เราได้สัมผัสกับพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำให้เราได้รับความรักและสันติสุขจากพระบิดาเจ้า
การเสด็จสู่สวรรค์ ตามคำสอนพระศาสนจักรคาทอลิก(CCC)
การสมโภช “พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์” เป็นข้อความเชื่อประการหนึ่งที่อยู่ในบทข้าพเจ้าเชื่อ(สัญลักษณ์ของอัครสาวก)ที่ว่า “เสด็จสู่สวรรค์ ประทับเบื้องขวาพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงสรรพานุภาพ”
คำสอนพระศาสนจักร(CCC ข้อ 665-667) ได้สรุปคำสอนในเรื่องนี้ไว้ว่า
(665) การเสด็จสู่สวรรค์ของพระคริสต์เป็นการแสดงถึงการที่สภาวะมนุษย์ของพระเยซูได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และจากพระอาณาจักรสวรรค์นี้เอง พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่ง(เทียบ กจ.1:11) แต่ในระหว่างนี้ พระอาณาจักรสวรรค์จะบดบังพระองค์เสียจากสายตามนุษย์(เทียบ คส.3:3)
(666) พระเยซูเจ้าในฐานะที่ทรงเป็น “ศีรษะ” หรือ “หัวหน้า” ของพระศาสนจักร ได้เสด็จล่วงหน้าไปสู่พระอาณาจักรของพระบิดาก่อนเราแล้ว เพื่อว่าเราทั้งหลายซึ่งเป็นอวัยวะแห่งพระวรกายของพระองค์จะได้ดำรงชีวิตอยู่ในความหวังว่า สักวันหนึ่งจะได้อยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดร์
(667) พระเยซูคริสตเจ้า เมื่อได้เสด็จเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองสวรรค์ในครั้งนั้นเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ทรงวิงวอนเพื่อเราอยู่มิได้ขาด ในฐานะองค์สื่อกลางที่เป็นหลักประกันให้เราได้รับพระคุณจากพระจิตเจ้าอยู่ตลอดกาล