“แต่ คุณพ่อคะ..คนที่นับถือศาสนาคริสต์น่าจะต้องเป็นคนที่พิเศษมากกว่าคนอื่นๆไม่ใช่หรือคะ” คุณพ่อมองสบตาหญิงคนนั้นแล้วตอบอย่างสั้นๆว่า “ใช่ครับ...ควรเป็นเช่นนั้น ควรเป็นเช่นนั้น”
-------------------------------------------------------
พวกเราคงเคยได้ยินการพูดคุยกันเช่นนี้ในสังคมไทยของเรา คนที่ไปวัดทุกวันอาทิตย์ควรที่จะมีความประพฤติที่แตกต่างไปจากคนที่ไม่ไปวัดหรือไม่ ให้เราพิจารณากรณีตัวอย่าง 3 เรื่องนี้นะครับ
คนขายตั๋วสวนสนุกแห่งหนึ่งพูดกับคุณพ่อที่ไปเที่ยวกับลูกชายของเขา “แหมลูกของคุณดูหน้าตาอ่อนกว่าอายุนะ ซื้อตั๋วเด็กไปก็แล้วกัน และถ้าคนเก็บตั๋วถามก็ให้บอกเขาว่า ลูกของคุณอายุยังไม่ถึง 12 ขวบ ประหยัดสตางค์ได้ตั้งแยะ”
ถ้าท่านเป็นคุณพ่อท่านนี้ท่านจะพูดอย่างไรกับคนขายตั๋วคนนี้
กรณีศึกษาที่สอง คุณแม่ท่านหนึ่งจับได้ว่าลูกสาวของตนไปขโมยขนมจากร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง
ถ้าท่านเป็นคุณแม่ท่านนี้ท่านจะทำอย่างไรกับลูกสาวของท่าน
กรณีที่สาม ถ้าท่านทราบว่าเพื่อนสนิทของลูกชายของท่านบอกลูกชายของท่านว่า “ถ้าเพื่อนทำข้อสอบข้อใดไม่ได้ ขอให้ส่งสัญญาณมาก็มาก็แล้วกัน”
ถ้าท่านได้ยินลูกๆคุยกันเช่นนี้ ท่านจะยังคงนั่งอ่านหนังหนังสือพิมพ์ จิบกาแฟ หรือจะเรียกเด็กๆมาพูดคุยกันแบบเปิดอกต่อกันและกัน
-----------------------------------------------------
ผมเองไม่รู้ว่าท่านจะจัดการอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้ แต่ผมรู้ว่าพระเยซูเจ้าทรงกระทำอย่างนี้ครับ
คำตอบอยู่ในพระวาจาของพระเจ้าประจำสัปดาห์นี้ จากบทอ่านทั้งสามที่เรารับฟังในพิธีมิสซาฯ บ่งบอกเราว่าเป็นหน้าที่ของเราคริสตชนที่ไม่เพียงแต่จะต้องดำรงตนเป็นคนดีเท่านั้น แต่จะต้องช่วยเหลือผู้อื่นให้เป็นคนดีด้วย ดั่งที่พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราต้องเป็นคนดีคือ “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน...ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก...”(มัทธิว 5:13-16) และเราต้องช่วยเพื่อนพี่น้องให้เป็นคนดีด้วย คือ “ถ้าเพื่อนพี่น้องของท่านทำผิด จงไปตักเตือนเขาตามลำพัง...ถ้าเขาไม่เชื่อฟัง จงพาอีกคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย...ถ้าเขาไม่ยอมฟังพยานอีก จงปฏิบัติต่อเขาเหมือน....”(มัทธิว 18:15-20) สุดท้ายถ้าเราอ่านจนครบจะพบว่า เคล็ดลับความสำเร็จอยู่ที่คำๆนี้ “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั้นในหมู่พวกเขา”(มัทธิว 18:20)