พระคัมภีร์และคำสอน
3. เรื่องประหลาดใจแรกมาจากบทอ่านที่หนึ่ง (2ซมอ 7:1-5,8-11,16) เป็นเรื่องคำสัญญาที่พระเจ้าทรงมีต่อกษัตริย์ดาวิดและสืบเนื่องมายาวนานจนสำเร็จลงในกษัตริย์องค์สดท้ายคือพระเยซูเจ้า
4. บทสดุดี (สดด 89) เตือนเราให้คิดถึงคำสัญญาของพระเจ้าและความน่าประหลาดใจต่างๆ ที่พระเจ้าทรงมีต่อดาวิดและผู้สืบทอดในนามของพันธสัญญา
5. เรื่องประหลาดใจที่สองเป็นเรื่องคำอธิบายของนักบุญเปาโล (รม 16:25-27)) ที่เปิดเผยแผนการเรื่องการไถ่บาปมนุษย์ของพระเจ้าที่มีให้มนุษย์โดยผ่านทางพระเยซูเจ้า
6. พระวรสาร (ลก 1:26-38) นำความประหลาดใจโดยบอกเราว่ากษัตริย์พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์ดาวิดจะเกิดมาจากหญิงพรหมจารีธรรมดาๆคนหนึ่ง โดยฤทธิอำนาจของพระจิตเจ้า ไม่ได้เลือกที่จะเกิดจากชนชั้นสูง แต่ทรงเลือกบุคคลที่สุภาพถ่อมตนและไว้วางใจในคำสัญญาขงพระเจ้า
ข้อปฎิบัติ
7. เราต้องนบนอบพระเจ้าโดยตอบรับ “ครับ/คะ” พระเจ้าเหมือนพระแม่มารีย์ ความนบนอบที่แท้จริงต้องมาจากการตัดสินใจอย่างอิสระโดยไตร่ตรองอย่างดีแล้วว่าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ “ถูกต้อง” และเป็นสิ่งที่ “ดีงาม” ซึ่งต้องอาศัยความกล้าหาญอย่างมากเนื่องมาจากเรื่องนั้นๆ อาจจะขัดแย้งกับความคาดหวังของสังคม ความนบนอบต่อพระเจ้ายังหมายถึง “การอุทิศตน” เพื่อ “รับใช้” สังคม เหมือนพระเยซูเจ้าที่ทรงปฏิบัติตามแบบอย่างของพระแม่มารีย์เช่นกัน คือพระองค์ทรง "ตอบรับ" พระประสงค์ของพระเจ้าในการยอมรับการทรมานและความตายบนไม้กางเขน การนบนอบของพระแม่มารีย์และพระเยซูจึงเป็นรูปแบบการดำเนินชีวิตของเรา เรานบนอบพระเจ้าได้โดยการไม่เลือกกระทำตามน้ำใจหรือตามกระแสสังคม หรือตามค่านิยมผิดๆของโลก แต่ยึดเอาคำสอนของพระองค์มาเป็นหลักในการตัดสินใจดำเนินชีวิต เมื่อเรา “นบนอบ” ตามแบบอย่างของพระเยซูเจ้าและพระแม่มารีย์ ก็หมายความว่าพระเยซูเจ้าทรงบังเกิดในจิตใจของเราแล้ว เหมือนที่พระกุมารเยซูบังเกิดในถ้ำเมื่อกว่าสองพันปีมาแล้วนั้นเอง