ข. พระคัมภีร์และคำสอน
2. บทอ่านที่หนึ่ง: ประกาศกเยเรมีย์ (ศตวรรษ 6 ก่อนคริสตศักราช) ตำหนิผู้นำและกษัตริย์ชาวอิสราเอลที่ไม่เอาใจใส่ประชาชน ไม่สนใจคนยากจน ประกาศกยังได้กล่าวทำนายว่าจะมีชุมพาบาลคนใหม่ที่มาจากตระกูลของกษัตริย์ดาวิด ที่จะนำความสุขและความชอบธรรมกลับมาให้ชาวอิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง
3. บทสดุดีในวันนี้มาจากบทสดุดีที่ 23 ที่ยืนยันว่ากษัตริย์ดาวิดเชื่อและไว้วางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ในฐานะที่เป็น “ชุมพาบาลที่ดี”
4. บทอ่านที่สอง: แนะนำว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นชุมพาบาลทั้งของชาวยิวและคนต่างศาสนา และอธิบายว่าพระเยซูเจ้าในฐานะชุมพาบาลที่ดี และผู้ที่ทำให้มนุษย์ได้คืนดีกับพระเจ้าด้วยการมอบชีวิตของตนเองยอมตายบนไม้กางเขน
5. พระวรสาร: น.มาระโกนำเสนอพระเยซูเจ้าในฐานะชุมพาบาลที่ดีที่มาทำให้คำสัญญาของพระเจ้าที่ให้ไว้กับประกาศกเยเรมีย์ในบทอ่านที่หนึ่งเป็นจริง เราได้เห็นว่าพระเยซูทรงให้กำลังใจบรรดาอัครสาวกที่เพิ่งกลับมาจากการเทศนาครั้งแรกด้วยความเหน็ดเหนื่อย อย่างไรก็ตามพระองค์ทรงแสดงความห่วงใยประชาชนโดยเปรียบเทียบเหมือนกับ “ลูกแกะที่ขาดคนเลี้ยงดู”
ค. ปฏิบัติ
6. “เราต้องพึ่งพาพระพรจากพระเจ้า” ไม่ว่าเราจะเป็นผู้นำหรือหัวหน้าในระดับใด เราคือชุมพาบาล ยิ่งต้องรับผิดชอบมากหรือสูงเท่าใด เราต้องพึ่งพาพระเจ้ามากเท่านั้น เราต้องสวดภาวนาเพื่อวอนขอพระพรแห่งสติปัญญาและพละกำลังเพื่อจะได้สามารถนำสมาชิกไปในหนทางที่ถูกต้อง เราต้องอ่านพระคัมภีร์และไตร่ตรองทุกวันเพื่อจะได้ทราบแนวทางในการดำเนินชีวิตในฐานะชุมพาบาลที่ดี และรับศีลมหาสนิทเพื่อเพิ่มพลังและความเข้มแข็งในชีวิต
7. “เราต้องสอนและดูแลประชาชน” พระศาสนจักรมีหน้าที่รับผิดชอบสองประการ คือ “การสอนและการดูแล” เรายังเป็นคริสตชนที่แท้จริงไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้ประกาศข่าวดีหรือพระวรสารให้ผู้อื่น “การสอน” พระวาจาของพระเจ้าเป็นแก่นแท้ของชีวิตคริสตชน ส่วน “การดูแล” นั้น เป็นการปฏิบัติตามที่เราสอน ซึ่งคริสตชนทุกคนจะต้องนำความรักและความเมตตาของพระเยซูเจ้าไปมอบให้คนในสังคม ด้วยการทำกิจเมตตาทั้งฝ่ายกายและจิตใจ ทั้งด้วยการกระทำเป็นการส่วนตัวหรือกระทำในนามของกลุ่มองค์กร หรือในนามของวัดของเรา