ข. พระคัมภีร์และคำสอน
1. บทอ่านที่หนึ่ง (อสย 53:10-11)
เป็นคำทำนายของประกาศกที่พูดถึงพระผู้ไถ่ที่จะเสด็จมาช่วยไถ่บาปมนุษย์ เป็นการกล่าวล่วงหน้าถึงพระเยซูเจ้าที่ต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อชดเชยบาป รับเอาความผิดของคนทั้งหลายไว้เอง
2. บทอ่านที่สอง (ฮบ 4:14-16)
บทจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวฮีบรูที่บอกเราว่าพระเยซูเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นทั้ง “พระเจ้า-มนุษย์” และ “สงฆ์สูงสุดผู้เป็นสื่อกลาง” ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ ทรงเป็นมหาสมณะที่ผ่านความทุกข์ยากและต้องรับการผจญทุกอย่างเหมือนกับเรา ยกเว้นบาป เราจึงพึ่งพาพระองค์เพื่อจะได้รับพระพร และเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์
3. พระวรสาร (มก 10:35-45)
อธิบายว่าพระเยซูเจ้าทรงไถ่บาปมนุษย์ให้พ้นจากการเป็นทาษของบาปโดยการเป็น “ผู้นำที่ทนทุกข์” พระเยซูทรงท้าทายผู้ติดตามพระองค์ให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยการเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น “ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน ก็ต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน” พระเยซูทรงสั่งเราให้อุทิศตนเพื่อผู้อื่นด้วยความรักและการช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความสุภาพถ่อมตน
ค. ปฏิบัติ
1. “รักและรับใช้ผู้อื่น” ในฐานะคริสตชน เราได้รับเชิญให้ช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือด้วยรอยยิ้ม เราได้รับการท้าทายให้ดำเนินชีวิตเหมือนพระเยซู ให้เราเริ่มต้นด้วยการรับใช้ช่วยเหลือสมาชิกในครอบครัว บ้านของเราเองต้องเป็นสถานที่แรก จากนั้นเป็นที่ทำงาน คุณพ่อคุณแม่ที่อุทิศเวลา ความสามารถ สุขภาพ เพื่อความสุขของสมาชิกทุกคนในครอบครัวก็เท่ากับได้รับใช้พระเจ้าเอง การรับใช้หรือช่วยเหลือผู้อื่นมักจะทำให้เรามีความยุ่งยากลำบาก ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องสวดภาวนาเพื่อขอความสว่างและวิธีการที่เหมาะสมในการช่วยเหลือผู้อื่น อีกทางหนึ่งคือการภาวนาเพื่อบุคคลที่มีความยากลำบากในการดำเนินชีวิตหรือบุคคลที่เราจะเข้าไปช่วยเหลือ
2. “เป็นผู้นำแบบผู้รับใช้” สังคมศาสนาของเราต้องการผู้นำที่แตกต่างจากผู้นำอื่นๆ เป็นผู้นำมีความเพียรทน เสียสละ ทำงานเพื่อความยุติธรรมในสังคม และเราต้องการผู้นำฝ่ายจิตที่สามารถนำพวกเราในการภาวนา ในพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ และนำเราให้ใกล้ชิดพระเจ้ามากยิ่งขึ้น