ข.พระคัมภีร์และคำสอน
1. บทอ่านที่หนึ่ง (บสร 27:4-7) หนังสือบุตรสิราสอนเราว่าสิ่งที่แสดงออกมาภายนอกนั้นมาจากจิตใจที่อยู่ภายในของเรา “วาจาย่อมเปิดเผยใจของมนุษย์ว่าดีหรือไม่ดี” เหมือนเตาไฟพิสูจน์ภาชนะของช่างปั้น ขนาดและคุณภาพของผลไม้พิสูจน์ชาวสวน ดังนั้นเมื่อเราคิดจะพิพากษาตัดสินโทษใครให้เราคิดก่อนพูด เพราะเรื่องที่พูดออกมาจากปากย่อมเผยแสดงสิ่งที่อยู่ในใจของเรา
2. บทสดุดี (สดด 92) แนะนำเราให้ใช้เวลาเพื่อสรรเสริญและขอพรจากพระเจ้า
3. บทอ่านที่สอง (1คร 15:54-58) น.เปาโลแนะนำคริสตชนชาวโครินธ์ว่า “จงมั่นคง อย่าหวั่นไหว จงออกแรงทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้มากยิ่งขึ้นเสมอ ท่านรู้อยู่แล้วว่า งานหนักของท่านไม่สูญเปล่าสำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้า” แทนที่เราจะเสียเวลาไปกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องและการพูดคุยที่ก่อให้เกิดบาปที่จะนำไปสู่การลงโทษ ขอให้เราทำงานเพื่อพระเจ้าซึ่งจะนำชัยชนะแห่งการกลับคืนชีพและรางวัลในเมืองสวรรค์
4. บทพระวรสาร (ลก 6:39-45) นำมาจากบทเทศน์ที่เกี่ยวกับการเจ็บปวดของ น.ลูกา พระเยซูทรงประณามพฤติกรรมที่ขาดความรับผิดชอบ ความเกลียดชัง การรีบด่วนตัดสินโทษผู้อื่น โดยใช้เรื่องเปรียบเทียบที่น่าขบขันเรื่องคนตาบอดนำทางคนตาบอดและการเขี่ยเศษฟางในตาของเพื่อนแต่ตัวเองมีท่อนซุงอยู่ในตาตัวเอง
ค. ปฏิบัติ
เราควรจะหลีกเลี่ยงการพิพากษาตัดสินผู้อื่น ด้วยเหตุผล 5 ประการ ดังนี้
1. “ไม่มีใครดีพร้อม” มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถพิพากษาตัดสินตัดสินผู้อื่น เพราะพระองค์ทรงมองเห็นความเป็นจริงทั้งหมด และทรงสามารถมองทะลุเข้าไปในหัวใจของมนุษย์ ดังนั้นพระองค์ผู้เดียวเท่านั้นมีความสามารถ มีสิทธิและอำนาจที่จะตัดสินเรามนุษย์
2. “เราไม่รู้จริง” เราไม่รู้ความจริงหรือสภาพแวดล้อมหรือสภาวการณ์ที่ทำให้คนๆหนึ่งต้องตัดสินใจกระทำความผิดหรือเรื่องที่ไม่ดี
3. “อคติ” หลายครั้งเรามีอคติหรือรู้สึกไม่ชอบอยู่ก่อนแล้ว เราจึงตัดสินผู้นั้นอย่างไม่ยุติธรรม เป็นต้นคนที่อยู่ใกล้ตัวเรา
4. “เราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใคร” เราไม่มีสิทธิที่จะตัดสินผู้อื่นเพราะเราเองก็มีความผิดบกพร่องเหมือนกัน จงจำคำสอนของพระเยซูที่ว่าเราเองมีท่อนซุงอยู่ในตาแต่กลับจะไปเขี่ยเศษฟางในตาของเพื่อนพี่น้อง
5. “ให้พระเจ้าทรงตัดสินเถิด” ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพระเจ้าในการพิพากษาตัดสิน ส่วนเราต้องปฏิบัติกิจเมตตา ให้อภัย และภาวนาวอนขอพระหรรษทาน (ความช่วยเหลือ) จากพระเจ้าเพื่อให้เราจะได้ลดนิสัยการมองคนในแง่ร้าย การชอบวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่น การยกตนข่มท่าน ให้เราจดจำคำสอนของบรรดานักบุญที่ว่า “ทุกครั้งที่ท่านชี้หน้ากล่าวโทษผู้อื่น นิ้วอีกสามนิ้วของท่านกำลังชี้ความผิดกล่าวโทษตัวของท่านเอง”