ข.พระคัมภีร์และคำสอน
1. บทอ่านที่หนึ่ง (อสย43:16-21)ย้อนเหตุการณ์ที่พระเจ้าทรงนำชาวอิสราเอลให้รอดพ้นจากการเป็นทาสโดยการผ่านข้ามทะเลและถิ่นทุรกันดารอย่างอัศจรรย์ ซึ่งเตือนใจเราว่าเราเองก็ได้รับการอภัยบาปและการช่วยให้รอดพ้นจากความบาปเช่นเดียวกัน
2. บทอ่านที่สอง (ฟป3:8-14) น.เปาโลยอมรับว่าท่านเองเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้รับการอภัยบาปจากพระเจ้า และได้เปลี่ยนแปลงตนเองโดยหันมารับความเชื่อในองค์พระเยซูคริสตเจ้าชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างของการประกาศข่าวดีที่ว่า “จงอย่าทำบาปอีก” (Sin no more) น.เปาโลรักพระเยซูคริสต์มาก ท่านปรารถนาที่จะมีส่วนในความทุกข์ทรมานแม้นกระทั่งในความตายและการกลับฟื้นคืนชีพของพระองค์
3. พระวรสาร (ยน8:1-11) น.ยอห์นเล่าเรื่องหญิงคนบาปคนหนึ่งที่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า แสดงให้เห็นถึงความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจที่ไม่สิ้นสุดของพระเจ้า โดยให้คนที่คิดว่าตนเองดีกว่าคนอื่นได้คิดทบทวนตนเองโดยตั้งคำถามว่าใครไม่มีบาปก็ให้เอาหินทุ่มลงโทษหญิงคนนี้ก่อนที่สุดก็ไม่มีใครลงโทษเธอ เพราะทุกคนต่างมีบาปด้วยกันทั้งนั้น ดังนั้นพระองค์จึงทรงให้ความยุติธรรมแก่ผู้กล่าวหาและให้ความเมตตากับหญิงคนบาป ในชีวิตของเราก็เช่นกัน เราต้องเป็นประจักษ์พยานในเรื่องความยุติธรรมของพระเจ้าโดยการไปสารภาพบาปและแก้ไขปรับปรุงตนเอง พร้อมทั้งหลีกหนีโอกาสบาปต่างๆ ในเวลาเดียวกันเราต้องเป็นประจักษ์พยานถึงความเมตตาของพระเจ้าโดยการยอมรับการให้อภัยและสัญญาว่าจะให้อภัยผู้อื่นที่ทำผิดต่อเรา
ค. ปฏิบัติ
1.“ให้อภัยผู้อื่น” เราต้องเป็นบุคคลที่ให้อภัย พร้อมที่จะคืนดีกับคนอื่น พระเยซูเจ้าทรงแสดงความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจคนบาปโดยการยอมตายเพื่อบาปของเรา แต่เราเองมักจะอ้างความชอบธรรมของตนเองเหมือนพวกฟารีสีและพร้อมที่จะดำเนินชีวิตที่เป็นที่สะดุดแก่ผู้อื่นโดยการติฉินนินทาผู้อื่น เรามักจะตัดสินพิพากษาคนโน้นคนนี้โดยลืมคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าที่ว่า “ท่านผู้ใดไม่มีบาป จงเอาหินทุ่มนางเป็นคนแรกเถิด”ให้เราสำนึกถึงบาปของเราเอง วอนขอการอภัยบาปจากพระเจ้าทุกวันและตั้งใจที่จะมอบการให้อภัยแก่พี่น้องที่ทำผิดไป เราต้องเรียนรู้ที่จะเกียจชังบาปแต่รักคนบาป แสดงความเมตตา ความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจและการยอมรับ ช่วยนำเขากลับมาดำเนินชีวิตตามเส้นทางของพระเยซูโดยการแสดงตนเป็นแบบชีวิตให้กับเขา
2.“ไม่ตัดสินผู้อื่น” เราไม่มีสิทธิที่จะตัดสินผู้อื่น เพราะเราเองก็เป็นคนบาปเช่นกัน เรามักจะมีลำเอียง อคติ ในการตัดสินผู้อื่น และเราเองก็ไม่รู้สภาพแวดล้อมหรือเหตุผลที่ทำให้คนหนึ่งต้องทำผิด ดังนั้นให้เราปล่อยให้การตัดสินเป็นหน้าที่ของพระเจ้าผู้ทรงพระเมตตา ผู้ที่ล่วงรู้เข้าใปในส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ เพราะเราเองก็จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาพระเมตตาและความรักของพระเจ้าเช่นกัน
3. การฉลองปัสกาในปีนี้จะมีความหมายอย่างยิ่งถ้าเราได้ให้อภัยหรือคืนดีกับเพื่อนที่เรามีเรื่องบาดหมางกันมาอย่างน้อยสักคนหนึ่ง