“ความหิวโหยและปัญหาการขาดสารอาหารฆ่าคนกว่า 10 ล้านคนในแต่ละปี หรือ 25000 คนต่อวัน หรือจะสูญเสียชีวิตหนึ่งในทุก ๆ 5 วินาที โลกผลิตอาหารเพียงพอสำหรับทุกคน แต่อาหารนั้นกลับอยู่ผิดที่ หรือ ไม่สามารถจัดเก็บไว้ได้นาน โดยทั่วไปการสร้างอาหารให้มีความเพียงพอนั้นขึ้นอยู่กับทางการเมืองมากกว่าทางวิทยาศาสตร์”
(จาก http://news.bbc.co.uk/1/hi/sci/tech/4038205.stm)
ข่าวที่ 2 “แม่ขโมยนมและผ้าอ้อมให้ลูก
นายธวัชชัย ไทยเขียว อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน แถลงกรณีคดีการจับกุมหญิงสาววัยรุ่นอายุ 17 ปี ขโมยนมและผ้าอ้อมจากห้างสรรพสินค้าไปให้ลูกวัย 3 เดือน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ส่งตัวหญิงวัยรุ่นไปควบคุมตัวที่สถานแรกรับเด็กและเยาวชนหญิงบ้านปราณี ส่วนลูกวัย 3 เดือนแยกส่งไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กบ้านปากเกร็ด
ตลอดทั้งคืนหญิงสาวคนดังกล่าวนอนไม่หลับเพราะต้องแยกกับลูก เมื่อทั้งคู่ได้พบกันอีกครั้งจึงดีใจมาก แม่โผเข้ากอดลูก ซึ่งเด็กวัย 3 เดือนก็เริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับ แม้แต่เจ้าหน้าที่ที่เห็นเหตุการณ์ก็เก็บน้ำตาไว้ไม่อยู่
(ที่มา http://news.mcot.net/social/inside.php?value=bmlkPTEzNjQwNSZudHlwZT10ZXh0)
อ่านข่าวทั้งสองนี้แล้ว เราในฐานะที่เป็นคริสตชน รู้สึกอย่างไร เราจะเข้าไปมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสังคมที่กำลังตกระกำลำบากได้อย่างไร หรือเราคิดว่า “ฉันเป็นแต่เพียงคนเล็กๆคนเดียวเท่านั้นจะไปทำอะไรได้”
พระวรสารประจำสัปดาห์นี้เป็นคำตอบอย่างดีสำหรับเราทุกคน
ในวันอาทิตย์นี้เราได้รับฟังพระวาจาของพระเจ้าเรื่อง “การทวีขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวเลี้ยงคนห้าพันคน” ไม่นับเด็กและผู้หญิง ในพระวรสารของนักบุญยอห์น ได้ระบุว่าเจ้าของขนมปังและปลานั้นเป็นของ “เด็กคนหนึ่ง” (ยน.6:9) ให้เรานึกภาพของประชาชนที่มาชุมนุมกันอยู่ที่นั้น พวกเขาเหนื่อยจากการเดินทาง พวกเขากำลังหิว แต่คนจำนวนมากเช่นนี้กับขนมปังและปลาจำนวนเล็กน้อยนี้จะเพียงพอได้อย่างไร
ให้เราพิจารณาถึงหัวใจของพระเยซูเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์เรา พระองค์ทรงเริ่มแก้ปัญหาความหิวโหยของสังคมมนุษย์ด้วยการเชิญชวนให้พวกเขาได้แก้ปัญหาด้วยตนเองกันก่อน “ท่านทั้งหลายจงไปหาอาหารให้เขาเถิด” (มธ.14:16) แต่คำตอบของมนุษย์คือ “ที่นี้เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น” น้ำเสียงของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงความท้อแท้ ไม่มั่นใจ ไม่มีความหวัง พวกเขามองข้ามสิ่งเล็กๆน้อยๆที่พวกเขามี คิดอย่างเดียวว่า “เป็นไปไม่ได้”
เมื่อให้มนุษย์ได้แสดงฝีมือแล้ว ก็ถึงวิธีของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงดูถูกของเล็กๆน้อยๆ พระองค์รับสั่งว่า “เอาขนมปังและปลามาให้เราที่นี่เถิด” เด็กเล็กๆคนนั้นมีความไว้วางใจในพระเยซูเจ้า เขาคงไม่ได้คิดอะไรมากมายไปกว่าเมื่อพระเยซูต้องการอะไร ถ้าเขาพอช่วยได้ก็ยินดี เด็กคนน้อยคนนี้ไม่ได้พูดอะไรเลย เราไม่รู้ว่าเขาชื่ออะไร เป็นลูกหลานของใคร เป็นชายหรือหญิง แต่จากน้ำใจดีของเขา ซึ่งเป็นแต่เพียงเด็กเล็กๆคนหนึ่ง ได้ช่วยให้คนจำนวนมากมายได้มีอาหารกิน เอาชีวิตรอดไปได้อีกมื้อหนึ่ง ถ้าเด็กคนนี้หวงขนมปังและปลา ไม่ยอมให้พระเยซู อะไรจะเกิดขึ้น? เขาทำดีโดยไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตนอะไรเลย
ทำให้เรานึกถึงพระวาจาของพระเจ้าอีกตอนหนึ่งที่ว่า “ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตายไป มันก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านั้น แต่ถ้ามันตาย มันก็จะบังเกิดผลมากมาย” (ยน.12:24)
เรามีตัวอย่างของบุคคลมากมายที่เสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อทำให้คนอื่นๆได้มีความสุข ถ้าทุกคนคิดเช่นนี้ สังคมของเราจะไม่มีคนต้องอดอาหารตายอย่างแน่นอน
ให้เราย้อนไปดูข้อมูลที่ได้อ้างอิงไว้ในตอนแรก เป็นต้นประโยคที่ว่า “โลกผลิตอาหารเพียงพอสำหรับทุกคน แต่อาหารนั้นกลับอยู่ผิดที่ หรือ ไม่สามารถจัดเก็บไว้ได้นาน โดยทั่วไปการสร้างอาหารให้มีความเพียงพอนั้นขึ้นอยู่กับทางการเมืองมากกว่าทางวิทยาศาสตร์”
มัทธิวยังได้บันทึกไว้น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ “ทุกคนได้กินจนอิ่มแล้วยังเก็บที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง” การเก็บของที่เหลือ ไม่ทิ้งขว้าง แสดงให้เห็นถึงลักษณะของการใช้จ่ายที่รู้คุณค่า ใช้ทุกอย่างให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด คุณลักษณะเช่นนี้ เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องสร้างให้เกิดขึ้นกับเด็กของเรา และรวมถึงเราที่เป็นผู้ใหญ่แล้วทุกคน ปัจจุบันเราใช้สิ่งของกันอย่างฟุ่มเฟือย เรามักจะซื้อข้าวของอะไรต่างๆ มากมาย เห็นใครมีอะไรเราต้องมีกับเขาด้วย ซื้อมาใช้ได้สักพักหนึ่งก็เปลี่ยนใหม่ แม้จะต้องเป็นหนี้เป็นสินก็ยังยอม หวังว่าพระคัมภีร์ในตอนนี้จะช่วยทำให้เราเกิดสติกันได้บ้าง
นี่เป็นข่าวดีประจำสัปดาห์นี้ เราอย่าได้คิดว่าตัวของเราแต่เพียงคนเดียวนั้นไม่สามารถทำประโยชน์อะไรให้กับสังคมได้ อย่างน้อยแม้เราจะไม่มีอะไรจะไปแบ่งปันให้ใคร ก็ขอให้เรารู้จักใช้สิ่งของต่างๆ อย่างรู้คุณค่า ใช้ให้ถึงที่สุดก่อนที่จะตัดสินใจซื้อๆๆๆๆๆ