----------------------------------------
จากพระวรสารในวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงบอกสานุศิษย์ว่าพระองค์จะเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับทรมาน และจะต้องถูกจับไปประหารชีวิต แต่จะกลับคืนชีพในวันที่สาม การทำนายล่วงหน้าเช่นนี้ทำให้บรรดาสานุศิษย์แปลกใจ ไม่พอใจ และเกิดความกลัว แม้ว่าจะได้ยินว่าพระองค์จะทรงกลับฟื้นคืนชีพก็ตาม
เปโตรคิดว่าความทุกข์และความตายเป็นเรื่องที่ไม่เป็นมงคลและเลวร้ายมากสำหรับพระเยซู เปโตรถึงกับทัดทานพระอาจารย์ของตนโดยพูดว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์อย่างแน่นอน” แล้วเราก็ได้เห็นท่าที่ของพระเยซูเจ้าที่เราแทบจะไม่ค่อยได้เห็นมาก่อน พระเยซูตรัสกับเปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไป เจ้าเป็นเครื่องกีดขวางเรา...” เราลองนึกภาพเหตุการณ์นี้ดูซิ เปโตรจะรู้สึกอย่างไรบ้าง เปโตรคงตกใจอย่างสุดขีดในขณะนั้น
โดยที่ไม่ได้เจตนา เปโตรกำลังเล่นบทบาทของปีศาจที่ประจญล่อลวงให้พระเยซูเจ้าเลือกหนทางที่สะดวกสบาย ตามมาตรฐานมนุษย์ แทนที่จะกระทำตามแผนการของพระเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงสรุปถึงปัญหาของเปโตรด้วยคำพูดประโยคนี้ว่า “เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” นี่ไง “สองมาตรฐาน” มาตรฐานมนุษย์พูดว่า “จงเลือกเอาแต่ความสุข สนุก สบาย มั่นคง เอาตัวเองไว้ก่อน คนอื่นชั่งมัน อย่าไปลำบาก อย่าเสียสละ ตัวใครตัวมัน” สิ่งเหล่านี้แตกต่างกับมาตรฐานของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง พระบิดาเจ้าทรงเผยแสดงโดยผ่านทางพระบุตรพระเยซูให้เรารู้ว่า เพื่อที่จะได้รับความสุขที่แท้จริงนั้นเราจะต้องผ่านความทุกข์ยากลำบาก เพื่อความยินดีที่แท้จริงเราต้องผ่านความโศกเศร้า เพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดรก็ต้องผ่านความตาย พระเยซูเจ้าตรัสว่าพระองค์จะต้องรับทรมานและตายเพื่อจะได้รับการกลับฟื้นคืนชีพ
---------------------------------------------------
เปโตรไม่ต้องการให้สิ่งที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับพระเยซู บุคคลที่เขารักอย่างมากมาย และคงไม่ต้องการให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นกับตนเองเช่นเดียวกัน ดังนั้นหลังจากที่โดนพระเยซูตำหนิแล้ว เขาเองยังต้องงวยงงด้วยคำสอนของพระเยซูที่ตามมาอีกชุดหนึ่งว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึงตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา” พระวาจาข้อนี้เป็นการเผยแสดงให้เราเห็นว่า แผนการของพระบิดาเจ้านั้นไม่ได้มีเพื่อพระเยซูเจ้าเท่านั้น แต่ศิษย์ทุกคนของพระองค์ก็ต้องดำเนินชีวิตตามแผนการนี้ด้วย รวมถึงพวกเราทุกคนในปัจจุบันนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
--------------------------------------
ทำไมพระเจ้าประทานความทุกข์ยากลำบากมาให้มนุษย์ต้องแบกต้องทน ถ้าเราพิจารณาให้ดี เราจะเห็นว่า “ความทุกข์ยากลำบากเป็นมาตรฐานในการประเมินคุณค่าของมนุษย์” คนหนึ่งจะเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ได้นั้น คนๆนั้นจะต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน และความทุกข์ยากลำบากเป็นการพิสูจน์รักแท้ ถ้าเรารักใครเราคงยอมลำบากเพื่อเขาได้ด้วยใจยินดี แต่นี้ก็ยังเป็นแค่มาตรฐานมนุษย์ แต่มาตรฐานของพระเจ้าแล้ว ความยากลำบากในชีวิตทำให้เรามีส่วนในพระทรมานของพระเยซูเจ้า ความยากลำบากเป็นเครื่องมือของของพระเจ้าที่ทรงเรียกเราให้เราเข้ามาใกล้ชิดกับพระองค์ (เปรียบกับคำที่ว่าถ้าไม่เห็นโลงศพก็ยังไม่หลั่งน้ำตา)
ความทุกข์ยากของมนุษย์เป็นเสมือนกางเขนที่เราทุกคนจะต้องแบก คำสอนของพระเยซูให้กำลังใจมากเพราะเราไม่ได้แบกไม้กางเขนเพียงแต่ลำพัง แต่เราเดินไปพร้อมกับพระองค์ ขอให้เรายอมรับความทุกข์ยากลำบากที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความโดดเดี่ยว ความกลัดกลุ้มใจ ฯลฯ ขอให้เรามองไม้กางเขนไว้ อย่างลืมที่พระองค์ทรงสอนเรา “จงแบกกางเขนของตนแล้วติดตามเรา” ซึ่งเราส่วนใหญ่มักจะโดนประจญเช่นนี้ “ขอที่เถิดพระเจ้า อย่าให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าเลย”
อย่าลืมว่าพระเยซูเจ้าทรงบกเราวันนี้พระองค์จะเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็ม จะทรงถูกจับกุม ถูกตัดสินประหารชีวิต และจะ “กลับฟื้นคืนชีพ” ในวันที่สาม พระองค์มิได้ทรงรับทรมานและความตายเท่านั้น แต่ในที่สุดพระองค์ทรงกลับคืนชีพ ทรงเอาชนะความทุกข์ยากลำบากต่างๆได้
---------------------------------------------------
เราจะต้องคิดพิจารณาสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเราด้วยมาตรฐานของพระเจ้า เราได้เรียนรู้จากพระวาจาของพระเจ้าแล้วว่าพระเจ้าทรงรักเราอย่างไร พระองค์ไม่อยากให้สิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา พระองค์ทรงยอมลำบากแทนเราได้ ความทุกข์ยากลำบากจึงไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายเพราะนี้เป็นแผนการของพระเจ้าที่จะทรงนำเราไปพบกับความสุข “วิถีทางของพระเจ้าไม่เหมือนวิถีทางของมนุษย์ แต่วิถีทางของพระเจ้านั้นดีที่สุดสำหรับเรามนุษย์”