ที่เริ่มต้นเช่นนี้เพราะพระคัมภีร์ประจำอาทิตย์นี้พูดถึงการสอนของพระเยซูเจ้าโดยการเล่าเรื่องเปรียบเทียบว่า มีลูกสองคนที่คุณพ่อขอให้ไปช่วยทำงานในสวนองุ่น ลูกคนโตบอกกับพ่อว่า “ลูกไม่อยากไป” แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำงาน ส่วนลูกคนเล็กตอบพ่อว่า “ครับพ่อ” แต่แล้วก็ไม่ไป แล้วพระเยซูทรงถามให้ศิษย์ได้คิดว่า “สองคนนี้ใครทำตามใจพ่อ” ...เราลองตอบเองก็ได้ว่าใคร...
ประเด็นสำคัญที่เป็นข้อคิดคืออะไร
ถ้าเราศึกษาเรื่องของการเรียนรู้ของมนุษย์ เราทราบว่าแหล่งรับรู้ของมนุษย์มาจากประสาทสัมผัสทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ หรือ การได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ได้ชิมรสชาติ ได้สัมผัส ได้เกิดความรู้สึก
บางวัฒนธรรม เช่น ชาวกรีก ให้ความสำคัญ “การมองเห็น” ด้วยตาของตนเอง อะไรที่มองเห็นได้ สั่งนั้นจึงเป็นสิ่งที่มีอยู่จริงและเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ความคิดเช่นนี้จึงเป็นการให้ความสำคัญกับวัตถุหรือโลกที่สัมผัสได้มากกว่าเรื่องที่มองไม่เห็นหรือจับต้องไม่ได้ (เช่น อริสโตเติ้ล ที่คิดโลก ประกอบขึ้นด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ)
แต่บางวัฒนธรรม เช่น ชาวอาหรับและยิว ไม่ได้เน้นไปที่การมองเห็น แต่กลับไปให้ความสำคัญกับ “การฟัง” โดยให้เหตุผลประกอบง่ายๆก็คือ เราไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าด้วยตาของเราเอง เราไม่สามารถสัมผัสจับต้องพระเจ้าด้วยมือของเรา และเราไม่สามารถลิ้มรสหรือได้กลิ่นพระเจ้าได้ลิ้นและจมูกของเรา
แต่เรา “ได้ยิน” พระสุรเสียงของพระเจ้าได้ และเรามนุษย์รู้จักพระเจ้าโดยอาศัย “การฟัง” พระวาจาของพระองค์
เราคงจำเรื่องของประกาศกอิสยาห์ที่ยืนรอพระเจ้าที่ถ้ำแห่งหนึ่ง แล้วพระเจ้าได้ทรงเสด็จมาด้วยเสียงแผ่วเบาในสายลม คำอธิบายเช่นนี้ ทำให้เราเข้าใจได้ว่าทั้งพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ต่างให้ความสำคัญกับ “การรับฟังพระวาจาของพระเจ้า”
ให้เราดูตัวอย่างข้อความจากพระคัมภีร์เรื่อง “การฟัง” บางประการดังนี้
“ข้าแต่พระยาเวห์ ตรัสมาเถิด ผู้รับใช้ของพระองค์กำลังฟังอยู่”(1ซามูเอล 3:9) “ท่านทั้งหลายจงฟังพระสุรเสียงของพระองค์ในวันนี้เถิด ท่านอย่าทำใจให้แข็งกระด้าง”(สดุดี 95:7-8) “ผู้ที่ฟังวาจาของเราและมีความเชื่อในพระองค์ผู้ส่งเรามาก็ย่อมมีชีวิตนิรันดร”(ยอห์น 5:24) “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักมัน และมันก็ตามเรา”(ยอห์น 10:27)
สิ่งที่น่าคิดและเป็นข้อสังเกตที่ดีสำหรับเราทุกคนก็คือ พระคัมภีร์มักจะนำเสนอเรื่องของ “การฟัง” กับคุณธรรมเรื่อง “ความนบนอบเชื่อฟัง” ทั้งนี้เพราะว่าคำว่าพระวาจาของพระเจ้า(Word of God)มีความหมายเดียวกันกับคำว่าพระประสงค์ของพระเจ้า(God’ Will) นั้นเอง
ดังนั้นใครก็ตามที่ “รับฟัง” พระวาจาของพระเจ้าและ “ปฏิบัติตาม” ก็เป็นพี่เป็นน้องของพระเยซูเจ้า(เทียบ มัทธิว 12:48) ส่วนใครที่รับฟังแล้วไม่ปฏิบัติเหมือนคนโง่ที่สร้างบ้านบนพื้นทราย(เทียบ มัทธิว 7:24)
ให้เรากลับมาพิจารณาเรื่องลูกสองคนในพระวรสารของวันนี้
ลูกคนโตตอบปฏิเสธแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ กระบวนการดำเนินชีวิตของเรา เริ่มจาก “รับฟัง” แล้วก็ “ปฏิเสธ” ต่อมา “สำนึกแล้วเปลี่ยนแปลงหัวใจ” สุดท้ายก็ได้ปฏิบัติตามคำขอของคุณพ่อของเขา เขาได้ทำตามความประสงค์ของพ่อ
คุณพ่อในเรื่องเล่านี้เป็นคุณพ่อที่ฉลาดและแสนดี เขาไม่ได้แสดงอาการโมโหหรือหัวเสียกับการตอบปฏิเสธของลูกคนโต แต่ให้โอกาสเขา
เมื่อคุณพ่อหันมาขอร้องลูกคนเล็ก ลูกคนเล็กตอบรับทันที แต่สุดท้ายก็ไม่ไปทำงาน เขาเพียงแต่รับใช้คุณพ่อด้วยคำพูดเท่านั้น เขาไม่ได้ “ฟัง” คุณพ่อของเขาอย่างแท้จริง
ประเด็นคำสอนที่สำคัญของเรื่องนี้ อยู่ที่คำถามที่พระเยซูเจ้าทรงท้าทายบรรดาผู้ฟังคือ “สองคนนี้ใครทำตามใจพ่อ” คำตอบที่ชัดเจนก็คือ ลูกคนที่ได้เปลี่ยนจิตใจทำตามคำขอร้องของคุณพ่อ
คือ ลูกที่ได้ “รับฟัง” แล้ว “นบนอบเชื่อฟัง” พ่อนั้นเอง
พระเยซูเจ้ายังทรงสำทับผู้ฟังอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณี จะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน” ทำไมหรือ...ทั้งนี้เพราะว่าบรรดาฟาริสีไม่ได้เชื่อฟังพระวาจาของพระเจ้าที่ยอห์น บัปติสได้เทศนาสั่งสอนพวกเขา พวกเขาได้เห็นพรเยซูเจ้า เห็นกิจการดีๆที่พระองค์ทรงกระทำ แต่พวกเขา ไม่เชื่อ ไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่ได้รับฟังพระวาจาที่พระเยซูเจ้าได้สอนพวกเขาอย่างแท้จริงนั้นเอง
แล้วพวกเราล่ะ......พวกเราที่ได้รับฟังพระวาจาของพระเจ้าอยู่เสมอๆนั้น เราเป็นเหมือนลูกคนโตหรือลูกคนเล็ก
“ข้าแต่พระเจ้าโปรดให้ลูกได้รับฟังพระวาจาแล้วนำไปปฏิบัติในชีวิตจริงในชีวิตประจำวันด้วยเถิด อาแมน”