นักธุรกิจคนนั้น “ไว้วางใจ” ผู้รับใช้ของตน เขาได้มอบเงินให้คนงานของเขาเพื่อนำไปใช้ได้ตามใจของพวกเขา ที่สุดเมื่อเขากลับมาเขาได้ให้รางวัลผู้รับใช้ที่ได้ทำให้เงินทุนนั้นงอกเงยขึ้น และลงโทษผู้รับใช้ที่ไม่ได้ลงมือกระทำอะไรให้ก้าวหน้าขึ้น
ดังนั้นสาระสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่เรื่อง “การรับผิดชอบ” ของผู้รับใช้เหล่านั้นที่แตกต่างกันไป คนที่เอาเงินไปทำให้เกิดประโยชน์คือคนที่รู้จัก “รับผิดชอบ” ส่วนคนที่เอาเงินไปฝังดินนั้นแสดงถึงความไม่รับผิดชอบ
แล้วเรื่องนี้เกี่ยวกับพระอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีเป้าหมายให้มนุษย์ทุกคนได้เอาตัวรอดไปสวรรค์ เหมือนนักธุรกิจที่วางเป้าหมายของตนไว้ เพื่อให้มนุษย์สามารถเอาตัวรอดได้นั้น พระองค์ทรงประทานพระพรหรือความช่วยเหลือให้แก่เราทุกคนซึ่งเปรียบเหมือนเงินตะลันต์ พระองค์ทรง “ไว้วางใจ” และให้ “อิสระ” เราแต่ละคนในการที่จะใช้พระพรนั้นเพื่อเอาวิญญาณให้รอด พระพรนั้นเพียงพอสำหรับแต่ละคนที่จะเอาตัวรอดได้ จึงเป็น “หน้าที่รับผิดชอบ” ของเราแต่ละคนที่จะต้องบริหารจัดการชีวิตของตนเอง ใครที่เอาใจใส่ ขยันขันแข็งก็จะเอาตัวรอด ส่วนใครที่เกียจคร้านก็จะไม่ประสบความสำเร็จ
พระพรนั้นได้แก่ การสวดภาวนา การเข้ารับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การทำกิจการบุญ มีจิตเมตตา ยิ่งคนที่มีโอกาสและได้ปฏิบัติตามก็ยิ่งจะได้รับกุศลและมีความหวังอย่างแน่นอนที่จะได้รับรางวัลจากเจ้านายที่เที่ยงแท้ของเรา คือ ความสุขแท้ในเมืองสวรรค์