การอ่านหนังสือสำหรับเด็กๆนี้จะช่วยให้ท่านได้เรียนรู้อะไรต่างๆได้มากมาย ตัวอย่างเช่น สัตว์พูดได้ ดอกไม้คุยกัน หรือแม้แต่ถ้วยน้ำชาก็มีอะไรสอนใจเราได้ และจากบทสนทนาของเรื่องเหล่านี้ก็ช่วยก่อให้เกิดแรงบันดาลใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ ลองอ่านดูตัวอย่างสักเรื่องดีไหม
วันหนึ่งคุณตากับกับยายเดินเข้าไปในร้านขายของที่ระลึกแห่งหนึ่งเพื่อจะเลือกซื้อของขวัญเนื่องในวันคล้ายวันเกิดให้กับหลานของพวกเขา ขณะที่กำลังมองหาของถูกใจอยู่นั้น คุณยายได้เหลือบไปเห็นถ้วยน้ำชาใบหนึ่งที่สวยงามเป็นที่ประทับใจมาก
“ดูถ้วยน้ำชานี้ซิตา น่ารักมากเลย” เธอพูดกับคุณตา คุณตาก็เดินเข้าไปหยิบสำรวจดูแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว นี้เป็นถ้วยน้ำชาที่น่ารักมากที่สุดที่ฉันเคยเห็นมา”
เมื่อคุณตาและคุณยายพูดจบ ถ้วยน้ำชาก็พูดขึ้นมา “ขอบคุณที่ชมเชยผม แต่ผมเองก็ไม่ได้สวยอย่างนี้มาก่อนนะครับ”(นี้แหละที่เป็นเรื่องสำหรับเด็กๆ..ถ้วยพูดได้ไง)
แทนที่ทั้งสองจะแปลกใจที่ถ้วยน้ำชาพูดได้ ทั้งคุณตาและคุณยายกลับพูดคุยกับถ้วยน้ำชาว่า “เธอพูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไร..ไม่สวยอย่างนี้มาก่อน”
“ผมจะเล่าให้ท่านฟัง...ครั้งหนึ่งผมมีรูปร่างที่น่าเกียจมาก แต่วันหนึ่งมีพวกผู้ชายมือไม้สกปรกและเปียกปอนมาทุบตีผม บีบนวดผม แล้วนำผมเข้าไปในเสียบบนแท่นหมุน หมุนไปบีบไป จนผมมึนหัวไปหมด ผมทนไม่ไหวจึงร้องเสียงดังว่า..หยุด..หยุด..หยุด แต่พวกไม่ยอมหยุด” กลับพูดกันว่า “ยังไม่พอ”
“แทนที่จะหยุดทุบตีผม พวกเขากลับทำกับผมให้หนักไปกว่าเดิมอีก พวกเขานำผมเข้าไปใส่ไว้ในเตาไฟ...เตาไฟนะ...มันร้อนมากจริงๆ ร้อนจนผมทนไม่ไหม ผมต้องตะโกนอย่างสุดเสียงอีกครั้งหนึ่งว่า หยุด..หยุด..หยุด...แทนที่พวกเขาจะหยุด พวกเขากลับตอบว่า “ยังไม่พอ”
“ผมคิดว่าอย่างไรเสียผมคงจบชีวิตอยู่ในเตาไฟนี้แหละ แต่แล้วพวกเขาก็เอาตัวผมออกมาจากเตานรก เอาตัวฉันไปให้ผู้หญิงคนหนึ่ง เธอคนนั้นเริ่มเอาสีมาทาตัวฉัน มันแสบไปทั้งตัวเลยทีเดียว และกลิ่นของมันทำให้ฉันเวียนหัวมาก ฉันทนไม่ไหวจนต้องร้องออกมาว่า หยุด..หยุด..หยุด..แต่คำตอบก็คือ “ยังไม่พอ”
“จากนั้นหญิงคนนั้นก็นำผมส่งกลับไปให้ชายคนเดิมอีก คนนั้นนำตัวผมเข้าไปในเตาไฟนรกนั้นอีกครั้งหนึ่ง ครานี้มันร้อนกว่าเดิมอีกครับ..หยุด...หยุด..หยุด...ผมตะโกนโวยวายอีกครั้งหนึ่ง”
“ยังไม่พอ” คือคำตอบ
“เมื่อเขานำผมออกมาจากเตาไฟ เขาทำให้ผมเย็นสบายๆๆๆๆเมื่อได้สักระยะหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่งนำผมมาวางไว้บนหิ้งต่อหน้ากระจกเงา”
“เมื่อผมมองตนเองผ่านทางกระจก ผมต้องแปลกใจมาก ผมแทบจะจำตัวเองไม่ได้ ผมไม่ได้มีรูปร่างที่น่าเกียจและสกปรกอีกต่อไป แต่ตรงกันข้ามรูปร่างของผมกลับสง่างาม แข็งแรง สะอาดหมดจด จนทำให้ผมอดส่งเสียงร้องออกมาด้วยความยินดีไม่ได้”
“จากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมสำนึกถึงคุณค่าของความเจ็บปวด ถ้าไม่เจ็บปวด ฉันคงเป็นแค่ก้อนดินธรรมดาๆที่สกปรก เปราะบาง และน่าเกียจ แต่เมื่อผมได้ผ่านความเจ็บปวดต่างๆ สิ่งร้ายต่างๆก็ผ่านพ้นไป สิ่งที่คงเหลือคือความงดงามอย่างที่ผมเองไม่เคยนึกผัน”
นิทานสำหรับเด็กๆเรื่องนี้ช่างตรงกับข่าวดีจากพระคัมภีร์ประจำวันอาทิตย์นี้มากทีเดียว
เรื่องใหญ่ๆก็คือ ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงกลับฟื้นคืนชีพรับพระสิริรุ่งโรจน์นั้น พระองค์ทรงจำเป็นต้องผ่านความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสจนกระทั่งรับความตายบนไม้กางเขน ตามที่เปโตรพูดกับเราในบทอ่านที่หนึ่งว่า “แต่พระเจ้าทรงใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ถ้อยคำที่พระองค์ตรัสไว้ล่วงหน้าโดยทางบรรดาประกาศกว่าพระคริสตเจ้าของพระองค์จะต้องทรงรับทรมานนั้นเป็นจริง” (กิจการฯ 3:18)
ในบทพระวรสารก็ได้พูดในทำนองเดียวกันว่า
“แล้วพระองค์ทรงทำให้พวกเขาเกิดปัญญาเข้าใจพระคัมภีร์ ตรัสว่า มีเขียนไว้ดังนี้ว่า พระคริสตเจ้าจะต้องรับทนทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม” (ลูกา 24:45-46)
พระเยซูเจ้าได้ทรงเพิ่มเติมคำสอนลงไปว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระองค์เองจะต้องเกิดขึ้นกับบรรดาศิษย์ของพระองค์ด้วยเช่นกัน
“จงจำไว้ว่า...ผู้รับใช้ย่อมไม่เป็นใหญ่กว่านายของตน ถ้าเขาเบียดเบียนข่มเหงเรา เขาก็จะเบียดเบียนข่มเหงท่านทั้งหลายด้วย..” (ยอห์น 15:20)
สิ่งที่พระคัมภีร์ได้พูดไว้นั้นหมายความว่าพระเยซูเจ้าทรงถูกกระทำอย่างไร เราทุกคนก็จะต้องผ่านประสบการณ์เช่นนั้นด้วย
เมื่อสิ่งต่างๆเหล่านี้เกิดขึ้นกับเรา เราอาจจะร้องว่า “หยุด..หยุด..หยุด” แต่สุดท้ายเรากลับจะร้องออกมาด้วยความยินดี เช่นเดียวกับถ้วยน้ำชา และเช่นเดียวกับพระเยซูเจ้า
พระวาจาของพระเจ้าประจำสัปดาห์นี้ จึงเป็นพระวาจาที่ให้คำสอนและแรงบันดาลเพื่อการดำเนินชีวิตของเรา เราทุกคนเป็นสิ่งสร้างที่มีประโยชน์และสวยงามต่อหน้าพระเจ้า แต่กว่าจะเป็นเช่นนี้ได้เราต้องผ่านความทุกข์ทรมานมากมายมาก่อน
ในเรื่องของความสำเร็จในโลกนี้ก็เช่นกัน เราทำลงทุนลงแรง ต้องฟันฝ่า เราจึงจะประสบผลสำเร็จ
ในเรื่องของความเชื่อและชีวิตฝ่ายจิต ถ้าเราปรารถนาที่จะกลับคืนชีพไปอยู่ในเมืองสวรรค์พร้อมกับพระเยซูเจ้า เราต้องตายเช่นเดียวกับพระองค์ คือ การละทิ้งชีวิตเก่าที่ไม่ดีต่างๆของเราให้เสียสิ้น เราต้องยอมสละความสุขฝ่ายโลกที่กระแสสังคมต่างๆหยิบยื่นหรือเสนอตัวให้ เราต้องยอมเจ็บปวดความสุขชั่วคราวในโลกนี้เพื่อการรับความสุขนิรันดร์ในเมืองสวรรค์