คุณพ่อไพเราะ ของน้องๆศิษย์แสงธรรม
คุณพ่อไพเราะ มนิราช เป็นศิษย์เก่าบ้านเณรใหญ่แสงธรรม หรือ Lux Mundi รุ่นที่ 1 ดังนั้นพวกเราศิษย์แสงธรรมตั้งแต่รุ่นที่ 2-6 จึงได้อยู่ร่วมสมัยกับคุณพ่อที่บ้านเณรแสงธรรม การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันเช่นนี้จึงได้รู้เห็นถึงชีวิตที่งดงามของคุณพ่อไพเราะในหลายด้านด้วยกัน
ภาพรวมก็คือ พ่อเป็นคนสมณะเรียบง่าย มุ่งมั่น เอาจริงเอาจังในการทำงาน ช่วยเหลือตนเอง ไม่ยอมพึ่งพาอาศัยใครง่ายๆ ไม่อยากให้ใครต้องเดือดร้อนหรือลำบากโดยยอมลำบากเสียเอง ไม่เรียกร้อง ไม่ขอความสงสาร
ผมจำได้ว่าการใช้ชีวิตในบ้านเณรใหญ่ ผู้ให้การอบรมจะเน้นการใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นชีวิตหมู่คณะ พูดง่ายๆคือ ให้รักกันและกัน ให้มีจิตตารมณ์กลุ่ม ให้รู้จักทำงานเป็นทีม ใช้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กลุ่มราชบุรีของเราจะมีการประชุมกลุ่มเป็นประจำ โดยมีคุณพ่อไพเราะเป็นหัวหน้า สถานที่นัดพบคือห้องของคุณพ่อเอง
ในการประชุมกลุ่มสังฆมณฑล เราก็จะมีการสวดด้วยกัน แล้วก็แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตของกันและกัน เล่าสารทุกข์สุกดิบให้แก่กันและกัน พวกเรารู้สึกมีความสุข เป็นเหมือนพี่ๆน้องๆ รุ่นพี่ก็จะให้คำแนะนำ คำปลอบใจ กำลังใจ บางครั้งก็ตักเตือนเมื่อได้ยินพฤติกรรมไม่ดีของเราบางคน เรารู้สึกอบอุ่นและคิดว่าเมื่อเราบวชเป็นพระสงฆ์เราจะได้ร่วมมือกันทำงานเพื่อความเจริญก้าวหน้าของสังฆมณฑล
แน่นอนนอกจากวาระเข้มๆเหล่านี้แล้ว เรามักจะตบท้ายด้วยการรับประทานของว่างร่วมกัน บางครั้งรุ่นพี่ได้เงินหรือได้ของกินจากการไปทำงานตามวัดมามากวันนั้นของว่างก็จะดูดีน่ารับประทาน แต่ถ้าช่วงไหนไม่มีเงิน ของว่างก็แทบจะว่างจริงๆ สุดท้ายของการประชุมสังฆมณฑลก็คือ ห้องของพ่อไพเราะจะเลอะไปหมด ข้าวของถ้วยชามวางเต็มอ่างล้างหน้าของพ่อไพเพราะ พวกเราจะช่วยกันล้าง แต่พ่อไพเราะบอกว่าไม่ต้อง เดี๋ยวเขาจัดการเอง ให้ทุกคนกลับไปยังห้องของตนเองได้ เราก็เลยต้องนบนอบพี่ใหญ่ของเรา พ่อไพเราะกินก็ไม่กิน แต่ต้องมาปัดกวาดล้างถูถ้วยชามให้น้องๆอีก(จนน้องๆเสียนิสัยเลย)
การอยู่ในบ้านเณรใหญ่เราต้องฝึกทักษะต่างๆ เป็นเณรใหญ่หรือเป็นบราเดอร์ต้องทำได้ทุกอย่าง(เว้นความชั่ว) เรื่องที่ถือว่าเป็นทักษะบังคับคือการเล่นเครื่องดนตรี พ่อไพเราะเป็นคนแรกๆที่เล่นกีต้าร์ได้ เล่นออร์แกนได้ เป่าเมาท์ออร์แกน เป่าขลุย เป็นต้นออร์แกน กลุ่มราชบุรีของเรามีเครื่องออร์แกนแบบถีบ(โบราณหน่อย) เครื่องนี้เก็บไว้ในห้องพ่อไพเราะ ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เป็นลูกศิษย์ของพ่อไพเราะด้วย เวลาไปฝึกเล่นต้องไปฝึกเวลาว่าง ดังนั้นเวลาที่พ่อไพเราะจะพักผ่อนส่วนตัวในห้องก็จะมีน้องๆมีฝึกเล่นออร์แกน พ่อไพเราะก็ใจดี นั่งสอนพวกเรา ตามหลักสูตรที่พ่อไพเราะเองได้ปรับมาจากตำราต่างประเทศ
นอกจากนั้นพ่อไพเราะยังชอบเล่นกีฬา เล่นทุกประเภท พวกเราจะมีการแข่งขันกีฬากันบ่อยๆ แข่งกันเองบ้าง แข่งกับเณรสังฆมณฑลอื่นๆบ้าง เป็นต้นกับสังฆมณฑลจันทบุรี พ่อไพเราะก็จะเป็นหัวหน้าทีม คอยดูแลทั้งเรื่องการเล่นและน้ำดื่ม เรื่องกีฬานี้เณรราชบุรีในสมัยนั้นดูจะมีชื่อเสียงมาก(ชื่อเสียงด้านใดให้ไปถามกันเอง)
เมื่อบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว ผมได้มีโอกาสไปทำงานตามหลังคุณพ่อที่วัดท่าหว้า ที่นั้นคุณพ่อทำเองทุกอย่าง ทั้งอาหารการกิน ซักรีดเสื้อผ้า พ่อไพเราะเป็นนักประดิษฐ์ด้วย ท่านทำเครื่องกันขโมยติดทุกห้องด้วยตนเอง ไม่ต้องซื้อ ท่านได้ทำโทรโข่งไว้ใช้เอง และยังมีอุปกรณ์อื่นๆที่ท่านได้สร้างขึ้น ท่านบอกว่า เราต้องประหยัดสตางค์ วัดท่าหว้าไม่มีรายได้อะไร นอกจากวันเสกสุสาน บัญชีการเงินของท่านชัดเจน โปร่งใส(เพราะไม่ค่อยมีตังค์ บัญชีจึงไม่ซับซ้อน)
ผลงานสำคัญของพ่อไพเราะที่ผมจะไม่กล่าวถึงไม่ได้ก็คือ การจัดการเรียนพระคัมภีร์ทางไปรษณีย์ ซึ่งเริ่มต้นในสมัยของท่าน (โดยต่อมาคุณพ่อสุรินทร์ จารย์อุปการะได้สืบสานงานต่อ) ปัจจุบันงานการเรียนพระคัมภีร์ทางไปรษณีย์ได้แพร่หลายไปทั่วประเทศมีผู้เรียนไปแล้วหลายพันคน นอกจากนั้นท่านยังได้เป็นกรรมการพระคัมภีร์ระดับชาติ เป็นผู้หนึ่งที่ร่วมกันจัดทำพระคัมภีร์ฉบับของคาทอลิก เริ่มตั้งแต่การมีเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้ในรุ่นแรกๆ ท่านก็เล่าเรียนเรื่องการใช้คอมฯ เรื่องภาษา เพื่อให้การแปลพระคัมภีร์เป็นภาษาไทยที่ถูกต้อง ท่านสมัครเข้าไปเรียนเรื่องภาษาในมหาวิทยาลัยเลย ท่านทำทุกอย่างด้วยมือของท่านเอง พระศาสนจักรไทยเริ่มมีผู้รับผิดชอบดำเนินงานเป็นตัวตนในสมัยของพ่อ จากนั้นท่านยังได้เป็นหนึ่งในคณะผู้จัดทำไบเบิ้ลไดอารี่ ซึ่งเป็นที่นิยมอยู่ในปัจจุบันนี้
ผมขอจบการเล่าชีวิตของพ่อไพเราะในส่วนที่ผมรู้เห็นโดยไม่ต้องเปิดตำราหรือสอบถามใคร เพราะนี้คือความงดงามของชีวิตรุ่นพี่ที่ผมได้สัมผัส พ่อไพเราะต้องนอนเทศน์ให้พวกเราฟังด้วยความเงียบบนเตียงนอนถึง 13 ปี ขอพระเจ้าประทานพระพรแก่ดวงวิญญาณของคุณพ่อ และขอคุณพ่อช่วยภาวนาเพื่อน้องๆพระสงฆ์แสงธรรมด้วย