วันที่ข้าพเจ้าไปถึงที่นั้นตรงกับวันคล้ายวันเกิดของข้าพเจ้าพอดี สถานที่ที่ข้าพเจ้าจะต้องไปทำงานนั้นเป็นดินแดนที่กว้างขวางแต่แห้งแล้งมาก วันนั้นคุณพ่อเจ้าอาวาสและคุณพ่อผู้ช่วยได้ออกไปยังทุ่งซาฟารีเพื่อเยื่ยมเยือนสัตบุรุษที่อาศัยอยู่ตามชุมชนต่างๆรอบๆท้องทุ่งนั้น ขณะที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขกในบ้านของคุณพ่อเจ้าอาวาสอยู่นั้นมีเด็กผู้หญิงเล็กๆคนหนึ่งอายุประมาณ 5 ขวบได้มาเมียงๆมองๆอยู่บริเวณหน้าต่างของห้องรับแขก หลังจากนั้นเธอได้เข้ามานั่งอยู่ข้างๆและได้เอามือมาทาบมือของข้าพเจ้าเพื่อเปรียบเทียบสีของผิวหนัง จากนั้นเธอได้เอานิ้วมาขยี้ขนที่แขนของข้าพเจ้า และชี้มาที่ตนเองบอกว่าตนเองชื่อ เอลีซาเบ็ธ จากนั้นเธอได้จูงมือข้าพเจ้าเดินไปเที่ยวรอบๆเขตบ้านของคุณพ่อ ในที่สุดคุณพ่อเจ้าวัดและผู้ช่วยก็ได้เดินทางกลับมาบ้าน จากนั้นมีซิสเตอร์อีกสองท่านพร้อมกับครูคำสอนได้มาสมทบ พวกเราได้คุยกันสักพักหนึ่งแล้วก็พาข้าพเจ้าไปยังบ้านพัก จากนั้นข้าพเจ้าได้มีโอกาสจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทาง และในวันรุ่งขึ้น แขกประจำของข้าพเจ้าคือเอลีซาเบ็ธได้นำข้าพเจ้าไปเยี่ยมชาวบ้านในบริเวณนั้น และแน่นอนเธอได้แสดงอาการเป็นเจ้าของตัวข้าพเจ้า โดยไม่ยอมให้เด็กๆคนอื่นมาแตะต้องหรือโดนตัวข้าพเจ้าเลย
ความสงบเงียบของหมู่บ้านได้หายไปเมื่อพวกเราได้ข่าวว่าคณะรัฐบาลเก่าได้ถูกโค่นล้มลงและประเทศได้มีประธานาธิบดีและรัฐบาลใหม่ขึ้นมาปกครองประเทศ ทุกคนต่างยืนยันกับข้าพเจ้าว่าสถานที่เราอยู่นี้จะไม่ได้รับอันตรายใดๆจากความวุ่นวายทางการเมืองนี้ แต่ที่ไหนได้พวกเรากลับได้ยินข่าวว่ากองกำลังฝ่ายกบฏกำลังมุ่งหน้ามายังหมู่บ้านของเรา กองกำลังนี้ได้ทำร้ายและฆ่าประชาชนที่พวกเขาพบ สิ่งที่ข้าพเจ้าคาดเดาไว้กำลังจะเกิดขึ้นจริงแล้ว ในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังถวายมิสซาฯในวันอาทิตย์อยู่นั้น ทหารฝ่ายกบฏได้เข้ามาในวัดและลากตัวข้าพเจ้าพร้อมกับพระสงฆ์เจ้าอาวาสออกจากห้องซาคริสตี ชาวบ้านได้ช่วยกันอธิบายด้วยเหตุผลต่างๆ แต่พวกเขาไม่ยอมฟังกลับทุบตีและเอาปืนมาจ่อหัวข้าพเจ้า ในขณะที่พวกเรากำลังจะถูกฆ่าอยู่นั้นเอง ผู้นำของพวกเขาได้เข้ามาทันเวลาพอดี หลังจากที่พวกเขาได้ขนของที่พวกเขาต้องการแล้ว พวกเขาก็ปล่อยพวกเราให้เป็นอิสระ ซึ่งจากเหตุการณ์นี้ทำให้พวกเราต้องอยู่อาการขวัญผวากันไปนานทีเดียว
สัปดาห์ต่อมาเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดและอันตรายอย่างยิ่ง แต่เพื่อนตัวน้อยของข้าพเจ้ายังคงมาเยี่ยมเยือนอย่างสม่ำเสมอ วันหนึ่งเธอพาข้าพเจ้าออกไปที่ปั้มน้ำที่ชาวบ้านพากันมาตัดน้ำไปใช้ในบ้านของพวกเขา เนื่องจากข้าพเจ้าเองยังไม่รู้ภาษาท้องถิ่นนั้นแต่ยังโชคดีที่ได้ซิสเตอร์ท่านหนึ่งช่วยแปลคำพูดคุย ข่าว และประสบการณ์ต่างให้ฟัง พวกเขารู้ว่าเกิดอะไรกับข้าพเจ้าและพระสงฆ์ที่วัด และขณะที่ข้าพเจ้ากำลังจะเดินทางกลับวัด มีหญิงสูงอายุท่านหนึ่งได้มาจับมือข้าพเจ้าและได้พูดกับข้าพเจ้า พูดไปร้องไห้ไป และได้เข้ามกอดข้าพเจ้า ซิสเตอร์อธิบายให้ฟังว่า หญิงคนนี้ได้กล่าวว่าเธอต้องทนอยู่กับสภาพการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่เมื่อเธอเห็นมิชชันนารีหนุ่มๆมาอยู่ในหมู่บ้านของเธอ เธอรู้สึกว่าพระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งเธอ ซึ่งการที่มีพระสงฆ์มาอยู่ด้วยนั้นทำให้พวกเธอมีกำลังใจและมีความหวัง คำพูดและการกอดของหญิงคนนี้ทำให้ความหวาดผวาและความกลัวต่างๆที่เกิดขึ้นเมื่ออาทิตย์ก่อนหายไปหมดสิ้น
“การอยู่” ของมิชชันนารีหรือพระสงฆ์นั้นมิใช่เพื่อเทศน์สอนข่าวดีของพระเจ้าเท่านั้น แต่ “การอยู่” กับชาวบ้านนั้นเป็นเครื่องหมายแห่งความหวังและความเพียรทนสำหรับสัตบุรุษ หรืออีกนัยหนึ่งตัวของมิชชันนารีและพระสงฆ์เป็น “ข่าวดี” สำหรับสัตบุรุษนั้นเอง และมิชชันนารีและพระสงฆ์จะต้องพร้อมที่จะนำข่าวดีของพระเจ้าไปมอบให้กับสัตบุรุษได้แม้ในเหตุการณ์ปรกติหรือไม่ปรกติ ต้องพร้อมที่จะนำข่าวดีไปให้สัตบุรุษด้วยชีวิตประจำของตนเอง
ข้าพเจ้าได้รับบทเรียนที่ยิ่งใหญ่จากเพื่อนตัวน้อยๆและหญิงสูงอายุคนนั้น นั้นคือ การมีชีวิตที่ซื่อๆเรียบง่าย การให้การต้อนรับและมิตรภาพ ความหวังและความเข้มแข็งอดทน ความรักและการยอมรับ และความไว้วางใจในพระเจ้า นี้แหละคือการเป็นธรรมทูตที่แท้จริง
พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 ทรงกล่าวไว้ว่า “การเป็นคริสตชนก็คือการเป็นธรรมทูต” นี้เป็นเสียงเรียกร้องให้เราที่ได้รับศีลล้างบาปแล้วได้เอาจริงเอาจังในงานธรรมทูต งานธรรมทูตนี้เป็นพระเยซูเจ้าที่ทรงส่งพวกเราไป ไม่ว่าเราจะเป็นใคร มีอาชีพอะไร เราต่างได้รับเรียกให้ทำงานแพร่ธรรม ให้เป็นธรรมทูต ให้เป็นผู้ประกาศข่าวดี ในขณะที่เราอยู่ในเดือนตุลาคม เดือนแห่งการแพร่ธรรมสากลนี้ ขอให้เราได้ตอบรับพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า “พระบิดาส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น” (ยน. 20: 21)
(เขียนโดย Fr. Liam Durrant สงฆ์ธรรมทูตคณะ Mill Hill Mission Society)