เช้าวันหนึ่งขณะที่ข้าพเจ้ากำลังอยู่รอเครื่องบินเพื่อจะได้เดินทางกลับบ้าน ข้าพเจ้าได้พบซิสเตอร์ชาวฟิลิปปินส์สามคนเดินทางมาจากประเทศทางเอเชียกลาง เราต่างมีรอเพื่อเปลี่ยนเครื่องด้วยกัน ซิสเตอร์ทั้งสามอายุมากกว่า 70 ปีแล้วทุกคน หลังจากที่ได้แนะนำตัวกันเรียนร้อยแล้ว ราก็ได้พูดคุยกันในฐานที่ข้าพเจ้าเป็นพระสงฆ์นักบวช ส่วนซิสเตอร์ทั้งสามเป็นมิชชันนารีที่จากบ้านไปทำงานในประเทศอื่น สิ่งที่ข้าพเจ้าได้สัมผัสกับชีวิตของซิสเตอร์ทั้งสามคือความสุภาพถ่อมตน ความเป็นกันเอง การยิ้มแย้มแจ่มใส การร้อนร้นในการพูดถึงงานที่พวกท่านทั้งสามได้กระทำ ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าครั้งนี้ซิสเตอร์ทั้งสามคงจะเดินทางกลับบ้านมาอยู่ในคณะฯหลังจากที่ได้ทำงานอย่างหนักในดินแดนมิสชัง แต่คำตอบของซิสเตอร์กลับเป็นว่า “ไม่ พวกเรากลับมาพักผ่อนช่วงวันหยุดสั้นๆ แล้วพวกเราจะเดินทางกลับไปทำงานต่อ”
ข้าพเจ้าได้เล่าให้ซิสเตอร์ฟังว่าข้าพเจ้าได้แรงบันดาลใจจากบรรดาพระสงฆ์มิสชันนารีที่ได้มาทำงานในประเทศของข้าพเจ้า โดยที่ท่านเหล่านั้นได้ทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย และข้าพเจ้าได้ถึง “เคล็ดลับ” ที่ทำให้ซิสเตอร์ต้องกลับไปทำงานประกาศข่าวดีหรือแพร่ธรรมอยู่อีกทั้งๆที่อายุขนาดนี้น่าจะพักผ่อนอยู่ที่อารามได้แล้ว “ซิสเตอร์ไม่คิดที่จะเกษียรบ้างหรือครับ” ซิสเตอรท่านหนึ่งกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงที่เรียบสงบว่า “คุณพ่อ การมีชีวิตอยู่ในความรักของพระเจ้าก็คือการรับใช้ผู้อื่น ซิสเตอร์มีความสุขที่ได้ทำงานแพร่ธรรม และนี้แหละที่ทำให้ซิสเตอร์จะต้องกลับไปอีก” คำตอบนี้ทำให้ข้าพเจ้าสว่างในใจทันที
บรรดาซิสเตอร์มิสชันนารีเหล่านี้ได้ค้นพบเหตุผลและความหมายของคำว่า “รักและรับใช้” อย่างแท้จริง การทำงานอยู่ท่ามกลางประชาชนที่มีความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ด้วยความสุภาพ เรียบง่าย นี้แหละที่เป็นการประกาศข่าวดีด้วยชีวิต การได้พบกับซิสเตอร์มิสชันนารีทั้งสามท่านนี้ทำให้ข้าพเจ้าได้เห็นถึงแบบของการประกาศข่าวดีด้วย “คำพูด” และ “ชีวิต” อย่างแท้จริง
ทุกวันนี้ บรรดาเยาวชนคนหนุ่มสาวจำนวนมากกำลังแสวงหาแนวทางในการดำเนินชีวิตที่พวกเขาสามารถดำเนินชีวิตติดตามพระเยซูเจ้าได้อย่างแท้จริง บางคนได้เปิดใจออกต้อนรับการเชื้อเชิญขององค์พระจิตเจ้า โดยการสมัครเข้าเป็นธรรมทูต หรือเป็นสงฆ์นักบวชต่างๆ แต่บางคนอาจจะเลือกที่จะดำเนินชีวิตแบบฆราวาส แต่ทุกคนต่างมีหน้าที่ที่จะต้องช่วยพระเยซูเจ้าในการสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้า
ในชีวิตประจำวันของเราแต่ละคน เราต่างมีโอกาสที่จะกระทำความดีอะไรได้อยู่เสมอ ไม่ว่าเราจะมีอายุมากหรือน้อย เราจะมีอาชีพอะไร ถ้าเรามีความตั้งใจจริง เราสามารถกระทำความดีได้อย่างแน่นอน เราจะต้องถามตนเองว่า “ฉันจะทำความดีหรือไม่” “ฉันจะทำอะไรเพื่อช่วยทำให้โลกของเราดีขึ้นกว่านี้ได้บ้าง”
พระสันตะปาปาเปเนติกต์ที่ 16 ในตรัสไว้ในสมณสาสน์วันแพร่ธรรมสากล 2011 ถึงเรื่องงานแพร่ธรรม โดยตอนหนึ่งท่านได้เชื้อเชิญให้คริสชนทุกคนในฐานะที่เป็นผู้ที่มีส่วนในพันธกิจงานแพร่ธรรมของพระศาสนจักรให้เป็นผู้สร้างชุมชนของเราให้เป็นสถานที่มีสันติสุข ให้มีความเป็นพี่เป็นน้องต่อกันซึ่งเป็นเรื่องที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงมอบให้แก่เราแล้ว ให้เราได้ร่วมมือในแผนงานการไถ่บาปของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์ พระสันตะปาปาทางท้าทายเราให้ร่วมมือกันพร้อมกับคนอื่นๆในทุกส่วนของโลกเพื่องานแพร่ธรรมนี้
เราทุกคนได้รับคำเชิญให้มีส่วนในงานแพร่ธรรมนี้ “พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านไปฉันนั้น”(ยอห์น 20:21) นี้เป็นเรื่องที่พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราอันเนื่องมาจากศีลล้างบาปที่เราได้รับ ดังนั้นจึงขอให้เราได้ตอบรับคำเชิญนี้ด้วยหัวใจที่สุภาพถ่อมตน เพราะว่าการออกไปรับใช้เพื่อนพี่น้องก็เท่ากับได้ออกไปรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าเอง ขอให้ชีวิตของซิสเตอร์มิสชันนารีทั้งสามที่ยินดีกลับไปทำงานแพร่ธรรมยังต่างบ้านต่างเมือง ทั้งนี้เพราะ “การมีชีวิตอยู่ในความรักของพระเจ้าก็คือการรับใช้ผู้อื่น”
(สรุปจากบทเทศน์ของ Fr.Christian B.Buenafe, O.Carm., คณะ Carmelites)