ในโลกปัจจุบันซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ถูกขัดจังหวะเป็นช่วงๆ จากการระเบิดใน นวตกรรมทางเทคโนโลยี เราจึงถูกเรียกให้ฟื้นฟูพันธกรณีของเราเรื่องการแพร่ธรรมที่ถูกส่งไปเพื่อประกาศข่าวดีแห่งการช่วยให้รอดพ้น เราถูกท้าทายให้อ่านวิกฤตของเครื่องหมายแห่งกาลเวลา เราต้องค้นหาอย่างต่อเนื่องถึงความหมายใหม่ๆ ของการแพร่ธรรมนี้ เพื่อพูดกับชนรุ่นใหม่ในยุคดิจิตอลที่ท้าทายเหล่านี้ ในขณะที่สารของพระวรสารยังคงเหมือนเดิม แต่สนามงานแพร่ธรรมเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้น เราจึงถูกถามด้วยคำถามที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า สนามงานการแพร่ธรรมในปัจจุบันคืออะไร เราจำเป็นต้องนำพระวาจาของพระเจ้าไปที่ไหน เรากำหนดรูปร่างให้การเรียกสู่การประกาศพระวรสารอย่างไร
จุดสำคัญของสนามงานแพร่ธรรมในปัจจุบันพบได้มากมายในรูปแบบของสื่อ สื่อเป็นสิ่งที่เราหนีไม่พ้น สื่อมีอยู่ทุกหนแห่ง แม้ในสถานที่ที่เราไม่คาดคิดว่าจะมี มันพุ่งเข้ามาในชีวิตของเราอย่างมองไม่เห็น ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน และในพระศาสนจักร ซึ่งแท้จริงแล้วไม่มีสถานที่ใดในโลกที่สื่อเข้าไม่ถึง ชีวิตของเราเต็มไปด้วยร่มเงาของสื่อ โทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์ วิทยุ เครือข่ายต่างๆ หลอมละลายเข้ามาในชีวิตของเราแต่ละคนอย่างไม่รู้ตัว ความจริงคือไม่มีใครเป็นอิสระจากสื่อ ดังนั้น หัวใจของงานของเราในปัจจุบันคือการนำพระวรสารเข้าไปในที่ซึ่งมีสื่ออยู่ เราจะเริ่มงานที่ยากลำบากนี้ที่ใด
สนามงานการแพร่ธรรมเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าทึ่ง และเช่นเดียวกับวิธีการทำงานแพร่ธรรม เดชะบุญที่มุมหลักของงานแพร่ธรรมยังคงเหมือนเดิมคือครอบครัว การเชื่อมโยงคุณค่าของพระวรสารกับสื่อนั้นต้องเริ่มที่บ้าน ในปัจจุบัน เราสามารถกล่าวได้อย่างจริงจังว่า บ้านของเราเป็นเหมือนกับดงขอสื่อ เสียงโทรศัพท์มือถือ โทรทัศน์และวิทยุตั้งเวลาการแข่งขันไว้ เอ็มพีสาม ไอพอด ไอแผด มีการเล่นการปรับจูนกันอย่างกว้างขวาง รายการต่างๆ เหล่านี้ดูเหมือนไม่จบสิ้น แต่จุดรวมสุดท้ายคือตัวบุคคลไม่ใช่เครื่องมือสื่อสารต่างๆ เป็นผู้ใช้ไม่ใช่เครื่องมือกระจุกกระจิกเหล่านี้ ดังนั้นเราแสวงหาที่จะประกาศพระวรสารกับผู้ที่อาศัยอยู่ในดงสื่อเหล่านี้ ไม่ใช่พันธกิจในปัจจุบันของเราที่จะต่อสู้กับสื่อ แต่คือการใช้ประโยชนจากสื่อให้เป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนามนุษย์ทั้งครบซึ่งเป็นหัวใจของพระวารสาร เป็นความเยี่ยมยอดที่ในปัจจุบันพระวรสารได้รับการประดิษฐานและตั้งไว้ในมุมที่โดดเด่นของบ้าน ที่ซึ่งสื่อยัดเยียดตนเองอย่างแน่นอนในหน้ากากของ “ความต้องการ” และ “ความจำเป็น”
เราทุกคนเล่นอยู่ในและรอบๆดงสื่อนี้ และที่พบมากที่สุดเป็นพิเศษคือคนรุ่นใหม่ที่เป็นเยาวชน สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ทรงเป็นวีรบุรุษของบรรดาเยาวชน เพราะพระองค์เป็นประกาศกของพวกเขา พระองค์เข้าใจถึงความอยากในการเชื่อมโยงกันของพวกเขา พระองค์ทรงแบ่งปันความวิตกกังวลของการถูกจับขึ้นในเว็บที่ซับซ้อนของโลกที่มีสื่อเป็นสื่อกลางของพวกเขา นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเครือข่ายทางสังคม เช่น เฟสบุค และทวิตเตอร์ เป็นที่นิยมของชนทุกเพศทุกวัย เป็นปรากฏการณ์ที่กระหน่ำอยู่ในท่ามกลางเยาวชน เช่น โทรศัพท์มือถือ เครือข่ายทางสังคมเหล่านี้กลายเป็นการขยายออกของพวกเขา จึงเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขาที่จะถูกปิดกั้นจากสื่อ ซึ่งสำหรับพวกเขาจะกลายเป็นการสูญเสียส่วนที่มีความหมายสำหรับพวกเขา สำหรับเยาวชนจำนวนมากการไม่มีสื่อคือการอยู่ชายขอบของความเกี่ยวเนื่องกัน
พระวรสารในวันนี้กล่าวถึงบรรดาผู้ได้รับเชิญมาในงานวิวาหมงคล ซึ่งไม่สวมเสื้อสำหรับงานวิวาห์โดยทั่วไปแล้วบุคคลเหล่านี้คือพวกเราจำนวนมาก เย็นเฉยที่จะกลับเข้าไปในคอกแกะและยังไม่ได้ปฏิบัติอย่างถูกต้องอย่างแท้จริง ที่น่าตะลึงยิ่งกว่านั้น บุคคลเหล่านี้คือเยาวชนของเรามีความกระตือรือร้นอย่างดื้อด้านที่ลอยไปตามกระแสของยุคสมัยเทคโนโลยีนี้ เยาวชนต้องการการเอาใจใส่ดูแลเป็นพิเศษในความว้าวุ่นใจที่มีอยู่ทั่วไปในยุคสมัยของเทคโนโลยีขั้นสูงนี้ พวกเขาต้องการ “การแต่งกายอย่างเหมาะสม” ไม่ใช่การแต่งกายแบบ “เย้ายวนใจและฉูดฉาด” ไปตามสื่ออุปกรณ์ใหม่ล่าสุดตามตลาด แต่ตามคุณค่าของพระวรสารคือ การรัก รับใช้ ความเอื้ออาทร การเสียสละ การให้อภัย ซึ่งเอ่ยชื่อได้เพียงไม่กี่อย่างนี้ เราจำเป็นต้องตอบสนองความหิวกระหายของพวกเขา การโหยหาฝ่ายจิตใจและโหยหาพระเจ้าในท่ามกลางการถาโถมของเทคโนโลยีที่ทะลักเข้ามา ให้เราจุดประกายหัวใจของเขาด้วยไฟแห่งความรักพระวาจาของพระเจ้า ให้เราพยายามที่จะชำระล้างความปรารถนาของพวกเขาด้วยคุณค่าของพระวรสารในการที่จะการเชื่อมโยงกันกับผู้อื่น กล่าวคือให้เราปลูกฝังความรักและการอุทิศตนเพื่อพระวาจาของพระเจ้าให้มากยิ่งขึ้นในบ้านและครอบครัวของเรา
นี่คือการแพร่ธรรมของเราในปัจจุบัน นี่คือความหมายของการถูกส่งไปโดยพระบุตรในปัจจุบัน นี่คือการประกาศพระวรสารในศตวรรษที่ 21