เราสามารถไตร่ตรองว่าเราจะนำพระคริสตเจ้าไปให้ผู้อื่นและเป็นพยานถึงพระวาจาของพระเจ้าได้อย่างไรในสามเรื่องที่สำคัญคือ
ประการแรก เป็นพยานยืนยันถึงพระวาจาของพระเจ้าไม่ใช่ที่การ “มีคุณสมบัติดีพร้อม” แต่สำหรับผู้ที่เต็มใจ และมีความมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมพระอาณาจักรของพระเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงมอบหมายให้บุคคลธรรมดาเช่นเราแต่ละคนให้เป็นพยานถึงงานและพระวาจาของพระองค์ พระองค์ต้องการคนธรรมดาที่สามารถรับมอบหมายและกระทำได้ดีเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเชิญเราไม่ใช่อย่างที่เราเป็น แต่ในสิ่งที่เราจะสามารถกลายเป็นผู้ที่อยู่ภายใต้การนำทางของพระองค์ ดังนั้น เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเราให้ติดตามพระองค์ เราต้องคิดว่าเราไม่มีอะไรจะมอบให้พระองค์ได้เลย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้พระพรจากบุคคลธรรมดาเช่นเรา ที่สามารถให้และสามารถใช้พระพรเหล่านั้นเพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระอาณาจักรของพระองค์ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า “พระเจ้าไม่ได้เรียกที่คุณสมบัติ แต่พระองค์ทรงให้คุณสมบัติของผู้ที่ทรงเรียก”
ประการที่สอง การเป็นพยานถึงพระวาจาของพระเจ้าต้องขึ้นอยู่กับพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าอย่างหมดสิ้น พระเจ้าไม่ทรงสามารถเอาชนะในความมีใจกว้างขวางของพระองค์ โดยเฉพาะกับคนงานในสวนองุ่นของพระองค์ พระองค์ทรงสัญญาอยู่เสมอว่าจะทรงประทานสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาเพื่อการบรรลุถึงพระอาณาจักรของพระองค์ ในขณะที่เรามอบทุกอย่างของเราแด่พระองค์ เราจำเป็นต้องมอบความไว้วางใจของเราทั้งหมดในพระองค์ เพียงพระเจ้านั้นก็เพียงพอ
ประการที่สาม การเป็นพยานถึงพระวาจาของพระเจ้า เราต้องทั้งถูกเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนแปลงในฐานะที่เป็นผู้แพร่ธรรมของพระเจ้า การเป็นพยานของเราส่วนใหญ่ไม่ใช่มาจากถ้อยคำที่เราพูด แต่ด้วยการไตร่ตรองถึงพระเมตตาของพระเจ้าและความรักที่มีอยู่ ให้เราจำไว้ว่าเราเทศน์สอนด้วยชีวิตของเราได้ดีกว่าการเทศน์สอนด้วยปาก ด้วยเหตุนี้ เ ราต้องเรียงลำดับถ้อยคำที่เราประกาศเพื่อว่าจะได้สัมผัสกับหัวใจและเปลี่ยนแปลงทุกๆ ชีวิตของผู้ที่ได้รับฟัง
พึงจำพระดำรัสของสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ที่ว่า “ไม่เพียงพอที่จะค้นพบพระคริสตเจ้า เราต้องนำพระคริสตเจ้าไปให้ผู้อื่นด้วย”