ในพระวรสาร พระเยซูเจ้าทรงเรียกเราให้มีความสำนึกอย่างลึกลงไปต่อความรับผิดชอบในฐานะพลเมือง (“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์”) และในฐานะสมาชิกของพระศาสนจักรของพระองค์ (“ของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”) ในฐานะที่เราเป็นทั้งมนุษย์ (สมาชิกของสังคม) และผู้เลื่อมใสศรัทธาในศาสนา (รับศีลล้างบาปเข้าอยู่ในครอบครัวเดียวกับพระเจ้า) ชีวิตของเราเดินทางเหมือนกับบรรดาศิษย์และผู้แพร่ธรรมของพระเยซูเจ้า เราจึงไม่สามารถละเลยความจริงสองประการนี้ในชีวิตคริสตชนของเรา ด้วยเหตุนี้พระเยซูเจ้าจึงทรงเสนอบรรทัดฐานสูงสุดในการปกครองชีวิตประจำวันของเราคือ รักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาให้เราเป็นผู้แพร่ธรรมแท้จริงของพระองค์ในโลกนี้ด้วยความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ของการเป็นของกันและกันและของพระเจ้า
ครั้งหนึ่ง โดโรธี เดย์ ได้กล่าวว่า “เมื่อท่านมอบของของพระเจ้าคืนให้พระเจ้า จึงไม่มีอะไรเหลือไว้ให้ซีซาร์อีก” ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องที่เดียวว่า นี่คือสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการบอกกับเรา เพราะทุกสิ่งเป็นของพระเจ้า ครอบครัวของพวกท่านเป็นของพระเจ้า ชีวิตของท่านเป็นของพระเจ้า โลกและผู้คนที่อยู่ในโลกเป็นของพระเจ้า ทุกเผ่าพันธุ์มนุษย์เป็นของพระเจ้า ดังนั้น สัตบุรุษแท้ย่อมต้องย้ำเหมือนท่านนักบุญเปาโลว่า “ท่านมีอะไรบ้างที่ไม่ได้รับ ถ้าท่านได้รับแล้ว ท่านจะโอ้อวดประหนึ่งว่าไม่ได้รับทำไม” (1 คร 4;7)
เราได้รับทุกอย่างจากพระเจ้า รวมทั้งความปรารถนาของเราที่จะรักและรับใช้ด้วยหัวใจของการเป็นธรรมทูตแท้ ออกไปสู่ผู้ที่อยู่ในความต้องการ ข้ามพรมแดนออกไปใกล้หรือไกล และเรากระทำทุกอย่างในพระนามของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงมีความชัดเจนว่า “ของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” จงอย่าเก็บสิ่งที่ไม่ใช่ของท่านไว้ ยิ่งกว่านั้นจงถวายให้กับผู้ที่มอบให้กับท่าน และกระทำด้วยความรักเมตตา เช่นเดียวกันนี้กับผู้ยากจน ผู้ไร้ที่อยู่ ผู้ไร้การศึกษา ผู้ถูกกดขี่ข่มเหง ผู้ถูกเอารัดเอาเปรียบและผู้ที่ชายขอบของโลกนี้ เพราะในบุคคลเหล่านี้ พระคริสตเจ้าทรงรอผลกรรมของท่าน ในการพิพากษาครั้งสุดท้าย (มธ 25:31-46)
ในสารวันอาทิตย์แพร่ธรรมสากล สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเตือนเราถึงการเรียกสู่การให้ “การให้การสนับสนุนเพื่อพัฒนาสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศที่มีความยากจน การขาดอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การขาดอาหารของเด็ก โรคภัยไข้เจ็บ การขาดบริการสาธารณะสุข และการศึกษาที่ยังอยู่ในสภาพที่น่าเป็นห่วง” พระองค์ทรงเสริมว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นพันธกิจของพระศาสนจักรด้วย”
การแบ่งปันวัตถุสิ่งของนั้นเราต้องกระทำด้วยความรู้สึกของความกตัญญูรู้คุณต่อพระเจ้า ด้วยเหตุนี้จึงนำเราสู่ความรู้สึกของธรรมทูตที่มีความรับผิดชอบต่อความต้องการของโลก ความพยายามอย่างมากมายในการประกาศพระวรสารไปทั่วโลกต้องไปพร้อมกับความพยายามอย่างเป็นรูปธรรมที่จะปรับปรุงชีวิตของผู้คนมากมายที่เห็นว่าสิทธิมนุษย์ขั้นพื้นฐานของเขา(บ้าน อาหาร ศักดิ์ศรี ฯลฯ)ถูกปฏิเสธ กิจกรรมธรรมทูตของพระศาสนจักรนี้เป็นเพียงสิ่งที่บรรดาศิษย์ที่ใจกว้างของพระเยซูเจ้าสามารถกระทำได้ การแบ่งปันทรัพยากรทางด้านวัตถุเพื่อช่วยเหลืองานแพร่ธรรมสากล ไม่ควรเป็นแค่เพียงการทำให้มโนธรรมของตนสงบ ยิ่งกว่านั้น การให้ของเราควรเป็นความรู้สึกชื่นชมยินดีที่อยู่ในหัวใจของเรา
ในระหว่างเดือนแห่งการแพร่ธรรมนี้ ขอให้เราช่วยเหลือชายและหญิงจำนวนมากที่ละทิ้งทุกอย่างไปเป็นธรรมทูตแห่งความรักของพระเจ้าในสถานที่อันกว้างใหญ่ ให้เราแบ่งปันให้กับผู้ยากจนโดยผ่านทางพวกท่านเหล่านี้ ให้เรา “ให้จนกว่าจะเจ็บ” และเป็นผู้ให้ด้วยความยินดี